วันนี้มาที่จวนกู้ชางป๋อพบเจอแต่เรื่องชวนให้หงุดหงิดใจจริงๆ วันหน้านางไม่มาสถานที่อัปมงคลเช่นนี้อีกแล้ว
โอวหยางเวยอวี่เห็นดังนั้นก็ไล่ตามไปจนถึงนอกประตูใหญ่ เจียงเฮ่อขวางหน้านางไว้แล้วกล่าว “คุณหนูท่านนี้ โปรดอย่าตามตอแยคุณหนูเจียงอีก”
สวรรค์…เขาซ่อนตัวอยู่ในพงหญ้ามองเห็นอะไรๆ ได้หมด เด็กสาวที่บอบบางน่ารักผู้นี้ถึงกับใส่บางสิ่งบางอย่างลงในน้ำชาตามใจชอบ แม้ว่าเขามิได้ตามไปดูให้กระจ่างชัดเพราะต้องอารักขาคุณหนูเจียง แต่จะปล่อยให้คนอันตรายพรรค์นี้เข้าใกล้คุณหนูเจียงมิได้เด็ดขาด ไม่เช่นนั้นถ้าเกิดเรื่องขึ้นกับคุณหนูเจียง เขาก็อย่าคิดว่าจะรอดชีวิตแล้ว
เฮ้อ…ตัวเขาจะเป็นหรือตายหาได้สำคัญไม่ แต่หากใต้เท้าต้องสูญเสียผู้ใต้บังคับบัญชามือหนึ่งเช่นเขาไปจะเสียใจปานใดหนอ เขาจะทำให้ใต้เท้าเป็นทุกข์มิได้
“คุณหนูเจียงๆ” โอวหยางเวยอวี่ยื้อยุดสุดกำลัง แต่ไม่อาจหลุดพ้นจากการสกัดกั้นของเจียงเฮ่อได้ นางเห็นเจียงซือหร่านเจียนจะก้าวขึ้นรถม้ารอมร่อ จึงพลันเกิดปฏิภาณวูบหนึ่งและกล่าวโพล่งขึ้น “คุณหนูเจียงยังจำคำโคลงวรรคหลังของคุณหนูหลีซานได้หรือไม่”
ร่างของเจียงซือหร่านชะงักนิ่ง นางหันศีรษะกลับมามองโอวหยางเวยอวี่ด้วยสีหน้าหงุดหงิด “อะไรนะ”
เมื่อเห็นว่าอาจพลิกสถานการณ์ได้ โอวหยางเวยอวี่มีน้ำตารื้นขึ้น กล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ “วอนคนยาก ยากวิงวอนคน…”
เด็กสาวพูดถึงตรงนี้แล้วเกือบถอนสะอื้นออกมา ต้องฝืนบังคับตนเองไว้ไม่ให้เสียกิริยาแล้วเอื้อนเอ่ยคำโคลงวรรคหลังต่อจนจบ “คนทุกคนเดือดร้อนยากวิงวอนใคร”
นางเบิกตากว้างมองเจียงซือหร่านนิ่งๆ ในแววตาที่สิ้นหวังยังแฝงความหวังไว้รำไร
ประกายความหวังนั้นแสนริบหรี่ หากแต่ละม้ายแสงลำหนึ่งที่ส่องกระทบดวงตาให้สว่างสุกใส
“คุณหนูเจียง คนเรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้ ผู้ใดบ้างจะไม่มีเวลาที่ตกที่นั่งลำบาก ท่านเพียงพลิกฝ่ามือก็ส่งผลต่อความเป็นความตายของข้าได้ ท่านโปรดฟังข้าพูดสักสองสามคำ ไม่ว่าท่านจะยินยอมช่วยหรือไม่ ข้าล้วนซาบซึ้งใจไปชั่วชีวิต” ว่าแล้วนางก็ปิดหน้าตัวสั่นระริก น้ำตาไหลรินลงมาในที่สุด
คุณหนูหลีซานคิดคำโคลงคู่บทนี้ขึ้น คนอื่นเพียงคิดว่าเพื่อโต้กลับตู้เฟยเสวี่ยที่นิ่งเฉยดูดาย ไหนเลยจะมิใช่คำตักเตือนสำหรับทุกคนและเป็นการเตือนสตินางด้วยเล่า
คำโคลงนี้อาจเป็นความหวังเพียงหนึ่งเดียวที่ช่วยให้นางโน้มน้าวใจคุณหนูเจียงได้
เท้าข้างหนึ่งของเจียงซือหร่านยกขึ้นไปเหยียบบนพื้นรถม้า ส่วนอีกข้างยังอยู่บนพื้นดินดังเดิม นางนิ่งอยู่ในอิริยาบถนี้มองดูโอวหยางเวยอวี่ที่ร่ำไห้อยู่ สีหน้าฉายอารมณ์แปรปรวนเกินหยั่ง
สุดท้ายนางพ่นลมหายใจเบาๆ เฮือกหนึ่ง เอ่ยปากขึ้นอย่างรำคาญ “เอาล่ะ เลิกร้องไห้ได้แล้ว ตกลงมาหาข้ามีเรื่องอะไรกันแน่ ขึ้นมาพูดกันบนรถม้าเถอะ”
โอวหยางเวยอวี่ปีติยินดียกใหญ่
ทว่าเจียงเฮ่อกลับขัดขวางเต็มที่ “ไม่ได้ ใครจะรู้ว่าท่านพกอาวุธทำร้ายคนติดตัวไว้หรือไม่…”
“ข้าเปล่านะ ข้าเปล่าจริงๆ” อาภรณ์ฤดูร้อนเดิมเป็นชั้นเดียวบางเบาอยู่แล้ว โอวหยางเวยอวี่สะบัดเสื้อและกระตุกถุงผ้าปักออกอย่างหวาดหวั่นสุดใจว่าโอกาสจะหลุดลอยไปในพริบตา ทั้งยังดึงของประดับกายที่แหลมคมเช่นปิ่นปักผมออกทุกชิ้นโดยไม่หยุดคิดใคร่ครวญ ปล่อยเรือนผมยาวเฟื้อยสยายรุ่ยร่ายแล้วเอ่ยถามเจียงซือหร่าน “คุณหนูเจียง ท่านเห็นว่าอย่างนี้ได้แล้วใช่หรือไม่”
“แต่ว่า…” แต่ว่าท่านยังวางยาได้ด้วยนะ เจียงเฮ่อรำพึงในใจ
เจียงซือหร่านถลึงตาใส่เจียงเฮ่อ “พอแล้ว อ่อนปวกเปียกเป็นลูกไก่อย่างนางจะทำร้ายข้าได้หรือ”
ไม่ว่าใครก็ไม่พึงยั่วโทสะคุณหนูผู้ยิ่งใหญ่ เจียงเฮ่อเปิดทางให้โอวหยางเวยอวี่ขึ้นรถม้าในที่สุด
ด้านในรถม้าที่กว้างขวางอย่างยิ่งปูลาดด้วยพรมทอจากใยไหมน้ำแข็ง ในเดือนหกก้าวเข้าไปไม่เพียงไม่รู้สึกร้อนอบอ้าวสักนิด กลับทำให้รู้สึกเย็นสบายกายอีกด้วย
เจียงซือหร่านนั่งพิงหมอนนุ่มนิ่ม พลางพูดเสียงเอื่อยๆ “พูดสิ มีเรื่องใดหรือ”
โอวหยางเวยอวี่คุกเข่าลงดังตุบ “ช่วงก่อนเพราะท่านพ่อข้าถวายฎีกาฟ้องร้องสมุหราชเลขาธิการหลันซาน ส่งผลให้โดนองค์ฮ่องเต้ทรงติเตียนลงโทษ องครักษ์จินหลินจับกุมท่านไปแล้วจนบัดนี้ยังไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดี…”
“ประเดี๋ยวก่อน…” เจียงซือหร่านตัดบทนาง “เจ้าอยากให้ข้าช่วยท่านพ่อของเจ้า?”
โอวหยางเวยอวี่ลุกลนอธิบาย “ข้าไม่กล้าฝันเฟื่องเช่นนั้น เรื่องในราชสำนักสตรีในห้องหอเช่นพวกเราล้วนยื่นมือยุ่งไม่ได้ ข้าเพียงอยากขอให้คุณหนูเจียงช่วยสอบถามให้ข้าสักหน่อยว่าตอนนี้ท่านพ่อข้าเป็นอย่างไร คนในครอบครัวข้าจะได้เตรียมใจไว้บ้าง”
เจียงซือหร่านได้ยินคำกล่าวของนางแล้วขมวดคิ้ว
สตรีในห้องหอเป็นอย่างไรรึ ทำได้แค่แต่งโคลงฉันท์กาพย์กลอนกับผัดแป้งประทินโฉมเท่านั้นหรือ
คนผู้นี้ปรามาสกันเกินไป