“เจียงเฮ่อ ข้าขอถามสักหน่อยสิ พี่สือซานบอกกับเจ้าเช่นไรหรือ”
“เอ๊ะ?” เจียงเฮ่องงงันไป เขาไม่เข้าใจความหมายของเด็กสาวผู้นี้โดยสิ้นเชิง
“ก็คือ…เขาบอกกับเจ้าว่าอะไรตอนให้เจ้าอารักขาข้าน่ะ”
“ท่านสิบสามบอกว่าถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับท่านให้ข้าหิ้วศีรษะตัวเองไปพบขอรับ”
เจียงซือหร่านฟังแล้วหวานล้ำไปทั้งใจทันที นางถามต่อ “ตอนนี้พี่สือซานอยู่ที่ที่ว่าการใช่หรือไม่”
“น่าจะอยู่กระมังขอรับ” เจียงเฮ่อตอบอย่างไม่มั่นใจ
“สารถี ตรงไปที่ที่ว่าการกององครักษ์จินหลิน” เจียงซือหร่านตะโกนสั่งจบแล้วปล่อยม่านหน้าต่างลงไม่กล่าววาจาต่ออีก
เจียงเฮ่อทำสีหน้าฉงนฉงาย แต่พอคิดอีกทีว่าตนกำลังจะไปพูดรายงานใต้เท้าพอดีก็เลยกระวีกระวาดตามไป
เจียงหย่วนเฉาสะสางงานในมือเสร็จแล้ว จึงผลักหน้าต่างเปิดออกแลมองทิวทัศน์ในลานกว้าง พลันได้ยินเสียงเรียกอย่างร่าเริงดังลอยมา “พี่สือซาน…”
เด็กสาวชุดสีแดงผู้หนึ่งเข้ามาอย่างว่องไว รอยยิ้มสดใสดุจบุปผา โฉมงามเฉิดฉายชวนพิศ
เจียงหย่วนเฉาจึงยิ้มบางๆ “หร่านราน ไฉนวันนี้มีเวลาว่างมาที่นี่”
“มาเยี่ยมท่านน่ะสิ ถ้าไม่ใช่เพราะเขา ข้ายังไม่รู้ว่าพี่สือซานส่งคนไปอารักขาข้า” เจียงซือหร่านยกมือชี้ไปที่เจียงเฮ่อ
“อย่างนั้นหรือ” มุมปากของชายหนุ่มอมยิ้มยามมองไปทางเจียงเฮ่อ
เจียงเฮ่อรู้สึกหนังศีรษะชาวาบในพริบตาจนต้องย่นคอห่อไหล่ มาตรว่าใต้เท้าจะยิ้มอยู่ แต่เขากลับสังหรณ์ใจไม่ดีว่าประเดี๋ยวจะโดนถลกหนังอยู่ไม่วาย
เจียงเฮ่อฉวยจังหวะคนทั้งสองสนทนากันลอบเล็ดลอดออกไป
“พี่สือซาน พักนี้ท่านงานยุ่งหรือไม่เจ้าคะ”
“พอประมาณ แล้วหร่านรานล่ะ วันนี้มีงานสังสรรค์ของชุมนุมฟู่ซาน สนุกสนานหรือไม่”
เมื่อเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมา เจียงซือหร่านมุ่นหัวคิ้วทันควัน นางเบะปากกล่าว “ไม่สนุกเจ้าค่ะ น่าเบื่อจะตายไป มีคนทำให้ข้าขายหน้าครั้งใหญ่ด้วย”
“หือ?” เจียงหย่วนเฉามองนางพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ ทำท่าทางรับฟังอย่างมีน้ำอดน้ำทน
ตรงกลางอกของเด็กสาวหวานชื่นขึ้นหลายส่วน นางเอ่ยเล่าว่า “ชุมนุมฟู่ซานมีผู้เข้าร่วมคนใหม่ สุ่มไม้ติ้วตามกฎได้ข้าเป็นคนตั้งหัวข้อทดสอบนางพอดี พี่สือซานไม่รู้หรอกว่าคนผู้นั้นถือว่าตนมีมารดารักใคร่ คอยรังแกพี่สาวที่กำพร้ามารดาแต่เด็กเสมอ ท่านว่าคนอย่างนี้น่ารังเกียจใช่หรือไม่”
“น่ารังเกียจมาก” เจียงหย่วนเฉาพูดเออออตามพลางกลั้วเสียงหัวร่อเบาๆ
“นั่นน่ะสิเจ้าคะ ดังนั้นข้าขบคิดว่าจะให้นางได้เจอดีบ้าง ก็เลยใช้นางเป็นเป้ายิงลูกท้อ ดูว่านางจะกลัวจนหัวหดหรือไม่ ตอนเริ่มต้นยังเป็นไปด้วยดี ใครจะรู้ว่าตอนยิงธนูดอกที่สามนางจะขยับไปมา ผลปรากฏว่าข้าเลยยิงถูกใบหน้านางเข้า” เจียงซือหร่านยิ่งคิดยิ่งหงุดหงิด นางทำปากยื่นกล่าวต่อ “พี่สือซาน ท่านรู้ฝีมือยิงธนูของข้าดี ยิงลูกท้อระยะใกล้ๆ เท่านั้น เป็นไปได้อย่างไรที่จะพลาดเป้า นี่มิใช่นางเป็นตัวการทำให้ข้าขายหน้าหรือ ซ้ำยังโดนคนอื่นว่ากล่าวลับหลังว่าข้าโหดเหี้ยม”
เจียงซือหร่านจับชายแขนเสื้อของชายหนุ่มแกว่งไปแกว่งมา พลางเอ่ยถามอย่างออดอ้อน “พี่สือซาน ท่านว่าไม่ยุติธรรมกับข้าเลยใช่หรือไม่เจ้าคะ”
ดวงตาที่เรียวยาวเล็กน้อยของเจียงหย่วนเฉาหรี่ลงครึ่งหนึ่งไม่ให้ใครอ่านความรู้สึกใดๆ ได้ หากมุมปากยังคงประดับรอยยิ้มอ่อนโยนไว้ น้ำเสียงแฝงรอยพะเน้าพะนอตามใจ
“ไม่ยุติธรรมมาก แต่เห็นทีว่าคุณหนูท่านนั้นคงตกใจแทบแย่ ยังเป็นแผลที่ใบหน้าก็ถือว่าได้รับบทลงโทษแล้ว หร่านรานก็อย่าโมโหนางอีกเลยนะ”
“ไม่ได้ พี่สือซาน ท่านส่งคนไปสืบถามให้ข้าทีว่านางเป็นอย่างไรบ้าง ถ้ากล้าเอาข้าไปนินทาเสียๆ หายๆ ส่งเดชล่ะก็ ข้าไม่ปล่อยนางไว้แน่”
“เป็นคุณหนูตระกูลใดหรือ”
“ดูเหมือนบิดาของนางจะเป็นอาลักษณ์เล็กๆ คนหนึ่งแซ่หลี นางเป็นคุณหนูสามของจวนสกุลหลีเจ้าค่ะ”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 14 ก.ค. 65 เวลา 12.00 น.