หญิงชราอดถามขึ้นไม่ได้ “เจาเจา ดีกว่ายาขี้ผึ้งน้ำค้างแข็งเมฆาจริงๆ หรือ”
“แน่สิเจ้าคะ ต่อให้เป็นยาขี้ผึ้งน้ำค้างแข็งเมฆาชั้นหนึ่งก็เทียบมันไม่ได้แม้แต่หนึ่งในหมื่น”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งฟังแล้วเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
มาตรว่าหมอเทวดาจะเก่งกาจ แต่ผู้เป็นแพทย์ต่างมีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าเขามียาวิเศษรักษาบาดแผลได้
“อย่างน้อยก็ดีกว่ายาของหมอทั่วไปมากนักเจ้าค่ะ” เฉียวเจาพูดเหมือนไม่ตั้งใจ
ท่านหมอมีน้ำโหจนหนวดกระดิก แม่เด็กอมมือผู้นี้หมายความว่าอะไร หมอทั่วไปรึ? เขาเป็นถึงหมอชื่อเสียงโด่งดังของเมืองหลวง หากมิใช่อายุปูนนี้แล้วคร้านจะเข้าสู่สำนักแพทย์หลวงที่ต้องอยู่ใต้กฎเกณฑ์ จะรั้งตำแหน่งเป็นแพทย์หลวงก็ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด
เขาน่ะหรือเป็นหมอทั่วไป?
ไหนเลยเหอซื่อจะมีแก่ใจพิศดูสีหน้าท่านหมอ นางได้ยินแล้วพยักหน้าเอ่ยขึ้นทันที “ใช่ๆ ยาที่ท่านปู่บุญธรรมของเจาเจาให้ไว้ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเหนือกว่าของพวกหมอทั่วไปในโรงหมอ เรื่องหยูกยาจะใช้สุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้”
ท่านหมออึ้งงัน “…” สมแล้วที่เป็นแม่ลูกกัน กล่าววาจาได้น่าโมโหเหมือนกัน เขาน่ะหรือเป็นหมอทั่วไป?
“ฮูหยินผู้เฒ่า…” ท่านหมอมองไปทางฮูหยินผู้เฒ่าเติ้ง
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งทุ่มความสนใจไปที่ใบหน้าของเฉียวเจาอยู่เช่นกัน จะมีเวลาพูดปลอบท่านหมอที่โดนทำร้ายจิตใจที่ใดกัน นางผงกศีรษะพลางพูดขึ้นว่า “จริงของเจ้า อย่างนั้นก็ใช้ยาของเจาเจาเถอะ”
ท่านหมอฟังแล้วเดือดดาลแทบคลั่ง หนวดเขากระดิกริกๆ ขณะกล่าว “ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้ง หลานสาวท่านมีบาดแผลที่หน้า หากใช้ยาสุ่มสี่สุ่มห้า อีกทั้งอากาศร้อนระอุเยี่ยงนี้ ถ้าเกิดมีอาการกลัดหนอง นั่นจะยิ่งย่ำแย่มากขึ้นอีก”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งพยักหน้าหงึกหงัก “ท่านหมอพูดถูก ใช้ยาสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้จริงๆ”
ท่านหมอบรรเทาโทสะลงได้บ้างในที่สุด
เห็นหรือไม่เล่า สองแม่ลูกคู่นั้นไม่รู้เรื่องรู้ราว ยังคงเป็นผู้มีอาวุโสที่หนักแน่นมั่นคง
“คุณหนู ยามาแล้วเจ้าค่ะ” อาจูถือตลับหยกขาวขนาดเท่าฝ่ามือใบหนึ่งเข้ามา
“ใส่ยาให้คุณหนูสามเร็วเข้า!” ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งกล่าวเร่ง
ท่านหมอลมแทบจับ เขาโกรธจนเลือดขึ้นหน้า “เหลวไหลๆ”
เหอซื่อรีบยื่นถุงผ้าปักใบหนึ่งให้ “ท่านหมออย่าโมโหโทโส เงินที่สมควรให้ พวกข้าไม่ให้ขาดแม้สักอีแปะเดียว…”
“ไม่ต้องแล้ว ข้าขออำลา” ไม่รอเหอซื่อพูดจบ ท่านหมอก็ทำหน้าบึ้งตึงและสะบัดแขนเสื้อจากไป
ท่านหมอออกไปไม่ทันไร หงซงของเรือนชิงซงก็เข้ามารายงาน “ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้ง คุณหนูใหญ่กลับมาพร้อมกับคุณหนูตู้ของจวนกู้ชางป๋อแล้วเจ้าค่ะ”
คุณหนูตู้?
แววตาของหญิงชราไหววูบหนึ่ง นางเพิ่งมีแก่ใจไต่ถามอาจูในเวลานี้ “อาจู คุณหนูสามบาดเจ็บได้อย่างไร เจ้าเล่ามาให้ละเอียด”
อาจูคุกเข่าลงตุบ “ข้าไปถึงจวนกู้ชางป๋อก็ถูกรั้งตัวไว้ด้านหน้าดื่มน้ำชาเหมือนๆ กับสาวใช้ที่พวกคุณหนูทุกตระกูลพามา มิได้อยู่ข้างกายคุณหนู ต่อมามีคนเรียกข้าเข้าไปถึงรู้ว่าคุณหนูบาดเจ็บ ข้าได้ยินคนอื่นพูดคุยกันว่าเป็นคุณหนูเจียงบุตรสาวของผู้บัญชาการกององครักษ์จินหลินทดสอบคุณหนูด้วยการให้คุณหนูเป็นเป้าธนู…”
“รังแกกันเกินไปแล้ว!” สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งบูดบึ้ง
เหอซื่อยิ่งโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง “บุตรสาวของผู้บัญชาการกององครักษ์จินหลิน? เป็นบุตรสาวของผู้บัญชาการกององครักษ์จินหลินก็กระทำกับเจาเจาของข้าเยี่ยงนี้ได้หรือ แม้แต่องค์หญิงยังไม่ยโสโอหังถึงเพียงนี้ ไม่ได้ ข้าจะไปถวายฎีกาฟ้องร้อง”
“เหอซื่อ!”
เหอซื่อกะพริบตาปริบๆ น้ำตาไหลไม่ขาดสาย “ท่านจะห้ามข้าใช่หรือไม่ ธนูดอกนั้นยิงโดนหน้าเจาเจายังเจ็บปวดกว่ายิงเข้ากลางอกข้า หากไม่ระบายความแค้นนี้ให้เจาเจา ข้าคงมีชีวิตอยู่ไม่ได้แล้ว”
เฉียวเจารู้สึกวาบลึกในอก นางหันไปมองเหอซื่อ
ปิงลวี่กำลังใส่ยาให้อยู่ พอขยับตัวอย่างนี้เลยกระทบถูกบาดแผลทันใด นางร้องครางในลำคอด้วยความเจ็บ
“โธ่ คุณหนู ท่านอย่าขยับสิเจ้าคะ คงเจ็บกระมัง ข้าเป่าแผลให้ท่านนะ…” ปิงลวี่ยื่นหน้าไปใกล้ๆ หน้านาง เป่าลมใส่แผลให้เบาๆ น้ำตาเอ่อคลอเบ้า
เฉียวเจายกมุมปากโค้งขึ้น มองเหอซื่อพลางกล่าวเสียงเบา “ไม่ ไม่เจ็บ…”
นางได้ยินฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งเปล่งเสียงพูด “แน่นอนว่าเรื่องนี้จะให้แล้วกันไปเท่านี้ไม่ได้! เหอซื่อ เจ้าไปที่เรือนหน้าบอกให้คุณหนูของจวนกู้ชางป๋อกลับไปก่อน พอเจ้ากลับมาค่อยว่ากันอีกที”
* ประตูวงเดือน คือประตูที่เจาะเป็นรูปวงกลม
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 15 ก.ค. 65 เวลา 12.00 น.