หลีเจี่ยวอ้าปากค้าง “ท่านอาสะใภ้รอง ไฉนท่านยังไม่เข้าใจอีก ที่นั่นคือหน้าประตูที่ว่าการกององครักษ์จินหลินนะเจ้าคะ ท่านย่ายั่วโทสะพวกเขาแล้วพวกเราจะทำอย่างไรกันดี”
“คุณหนูใหญ่ไม่ต้องกลัว ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งคิดอ่านรอบคอบกว่าพวกเรามาแต่ไหนแต่ไร” หลิวซื่อเอ่ยอย่างไม่เอาใจใส่
คุณหนูใหญ่สกุลหลีแทบไม่อยากเชื่อเลยว่าอาสะใภ้รองที่ปกติเป็นปฏิปักษ์กับมารดาเลี้ยงของตนจะเป็นคนปล่อยวางได้ถึงเพียงนี้ นางกระทืบเท้าพลางกล่าว “ท่านอาสะใภ้รอง ท่านทราบเรื่องนี้แล้วก็ดี ข้าขอตัวก่อนเจ้าค่ะ”
พอเห็นหลีเจี่ยวผลุนผลันกลับไป หลิวซื่อตะเบ็งเสียงพูด “ฉานเอ๋อร์ เจ้าก็ออกมาด้วย ข้าจะพาพวกเจ้าไปเยี่ยมคุณหนูสาม”
หลีเจี่ยวออกจากเรือนจินหรงแล้วนิ่งตรึกตรอง จากนั้นวิ่งตรงไปที่ห้องของเฉียวเจา
เฉียวเจาเปล่งเสียงพูดไม่ได้แล้ว นางกำลังใช้พู่กันแทนปากสั่งงานอาจูอยู่
หลีเจี่ยวพรวดพราดเข้ามาอย่างกระหืดกระหอบ “น้องเจา…”
เฉียวเจาวางพู่กันลง มองนางด้วยสีหน้าแววตาสงบนิ่ง
ชั่วขณะนั้น หลีเจี่ยวบังเกิดความรู้สึกละอายใจที่เทียบนางมิได้อย่างปราศจากเหตุผล
ทั้งที่คนที่เสียโฉมคือหลีซาน เหตุใดนางถึงดูจนตรอกมากกว่า
ความคิดนี้ผุดวาบขึ้นในหัวแล้วเลือนหายไป หลีเจี่ยวหยุดพักหายใจแล้วเอ่ยขึ้น “น้องเจา ในจวนกำลังจะเกิดเรื่องใหญ่แล้ว ตอนนี้มีแต่เจ้าที่เกลี้ยกล่อมท่านย่าได้”
เฉียวเจากะพริบตาปริบๆ บอกว่าสงสัย
“เพื่อระบายความแค้นให้เจ้า ท่านย่าจะไปนั่งขอความเป็นธรรมที่ที่ว่าการกององครักษ์จินหลิน ยังจะให้ท่านพ่อกับน้องสามส่งข้าวส่งน้ำให้ท่านอีกด้วยนะ!”
ดวงตาของเฉียวเจาทอประกายวูบหนึ่ง ตรงกลางอกอุ่นผะผ่าว
ที่แท้ครอบครัวของนางในตอนนี้สามารถทำถึงขั้นนี้เพื่อลูกหลานได้ นางช่างโชคดีปานใดที่ได้มีชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้
“เจ้าสมควรรู้ว่ากององครักษ์จินหลินเป็นสถานที่อะไร หากท่านย่าทำอย่างนั้นจริงๆ จะนำพาเภทภัยใหญ่หลวงมาสู่ครอบครัวเราได้! น้องเจา เจ้าคงหักใจปล่อยให้ครอบครัวเราประสบเคราะห์กรรมเช่นนี้เพราะเจ้าไม่ได้กระมัง”
เฉียวเจาเม้มปาก
“โธ่เอ๊ย น้องเจา เจ้ารีบตามข้าไปห้ามท่านกันเถอะ ชักช้าจะไม่ทันกาล” หลีเจี่ยวฉุดเฉียวเจาลุกขึ้นแล้วจะออกเดินไปข้างนอก
เฉียวเจาดึงมือออกจากมือนาง มองอาจูพลางชี้ที่พู่กันกับกระดาษ
อาจูเข้าใจความหมาย ถือพวกกระดาษกับพู่กันตามเฉียวเจาไปที่เรือนชิงซง
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งเพิ่งเตรียมตัวพร้อมพรัก เห็นสองพี่น้องมาพร้อมกันก็เอ่ยถาม “พวกเจ้ามาด้วยกันได้อย่างไร หลานเจา ไยเจ้าไม่พักรักษาตัวให้ดีๆ”
หลีเจี่ยวอ้าปากกล่าวอยู่ด้านข้าง “ท่านย่า น้องเจาได้ยินว่าท่านจะไปนั่งขอความเป็นธรรมที่ที่ว่าการกององครักษ์จินหลินแล้วร้อนใจมาก ถึงได้รุดมาที่นี่เจ้าค่ะ”
สีหน้าของหญิงชราขรึมลงเล็กน้อย “หลานเจา ข้าบอกแล้วว่าตอนนี้เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ เจ้าอย่าคิดมาก รีบกลับห้องไปพักรักษาตัวถึงจะถูกต้อง”
เฉียวเจาชี้ปากตนเองเป็นเชิงบอกว่าเปล่งเสียงพูดไม่ได้ จากนั้นล้วงขวดรูปทรงน้ำเต้าขนาดเล็กกะทัดรัดสีเขียวมรกตในถุงผ้าปักส่งให้
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งรับไว้แล้วทำสีหน้าฉงนใจ
เฉียวเจารับกระดาษกับพู่กันจากมืออาจูมาวางบนโต๊ะด้านข้าง เขียนปราดๆ อย่างคล่องแคล่วว่องไวเป็นถ้อยความบรรทัดหนึ่งแล้วหยิบขึ้นให้หญิงชราอ่าน
หลีเจี่ยวกวาดตาดูแวบหนึ่งแล้วโมโหแทบอกแตกตาย นางเห็นบนกระดาษเขียนว่า
‘ท่านย่าพกน้ำมันยาหอมขวดนี้ติดตัวไปด้วยจะได้ไม่เป็นลม’
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งอึ้งไปครู่หนึ่งแล้วหัวร่อเสียงดัง “หลานที่น่ารัก ท่านย่ารู้แล้ว”
หญิงชราพาสาวใช้กับหญิงคนงานเดินอาดๆ ออกไป ทิ้งหลีเจี่ยวที่แทบอยากเอาศีรษะโขกกำแพงไว้ที่เดิม นางยื่นมือไปจับข้อมือเฉียวเจาไว้แน่นสุดแรงพลางถามไล่เลียง “น้องเจา นี่เจ้าหมายความว่าอะไร เจ้าเห็นแก่ตัวเยี่ยงนี้ได้เช่นไร เพื่อที่ตัวเองจะได้ระบายความแค้น ก็ไม่แยแสว่าคนทั้งครอบครัวต้องตกอยู่ในอันตรายหรือ”
* คนเท้าเปล่าไม่กลัวคนสวมรองเท้า เป็นสำนวน หมายถึงคนที่ไม่มีอะไรจะเสีย ย่อมไม่กลัวคนที่มีอำนาจทรัพย์สิน
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 18 ก.ค. 65 เวลา 12.00 น.