บทที่ 179
“อย่าล้อเล่นเลย กระทั่งชายฉกรรจ์ล่ำสันบึกบึนยังเดินอ้อมไปทางอื่น หญิงชราที่ใดกันจะอยากมาที่ว่าการของพวกเรา…” ทหารยามผู้นั้นมองแวบหนึ่งอย่างไม่ตั้งใจ
เขายืนตรงโดยไม่รู้ตัวแล้วกระซิบบอก “ดูเหมือนจะมาทางนี้จริงๆ ยังพาบ่าวไพร่ตามมาเป็นพรวนด้วย”
“คงมิใช่สตรีในเรือนใต้เท้าท่านใดกระมัง”
“ไม่คล้ายจะใช่ เจ้าเคยเห็นท่านผู้เฒ่าตระกูลใดพาบ่าวไพร่โขยงหนึ่งมาเดินเล่นหน้าประตูที่ว่าการกององครักษ์จินหลินบ้าง”
“มาที่นี่จริงๆ”
ทหารยามสองคนหยุดคุยกระซิบกระซาบกัน พวกเขาสืบเท้าขึ้นหน้าหนึ่งก้าวแล้วยกมือขึ้นสกัดฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งไว้พร้อมกัน
“ท่านผู้เฒ่า ที่นี่เป็นเขตหวงห้ามของที่ว่าการกององครักษ์จินหลิน ผู้ไม่เกี่ยวข้องเข้าไปข้างในไม่ได้”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งหยุดฝีเท้า กล่าวเสียงขรึมว่า “รบกวนท่านเจ้าหน้าที่ทั้งสองช่วยเข้าไปแจ้งว่าข้าต้องการพบใต้เท้าของพวกท่าน”
“ท่านต้องการพบใต้เท้าท่านใดหรือ” เห็นฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งสูงวัยไม่น้อยแล้วจริงๆ ทหารยามทั้งสองจึงมีน้ำอดน้ำทนอย่างหาได้ยาก
“ใต้เท้าคนที่ตำแหน่งใหญ่ที่สุดของพวกท่าน ท่านผู้บัญชาการเจียง” หญิงชราบอกด้วยสีหน้านิ่งสนิท
“ใครนะ” ทหารยามทั้งสองนิ่งขึงไป จากนั้นหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่
“ท่านผู้เฒ่า ท่านอย่าล้อเล่น ที่นี่หาใช่สถานที่ให้ท่านแก้เหงา ท่านกลับไปโดยไวเถอะขอรับ”
หนึ่งในนั้นยกมือชี้ท้องฟ้า “ดูสิ แดดแรงถึงเพียงนี้ ท่านอยู่ในเรือนแสนจะสบายปานใด ขืนเดินเล่นอยู่ข้างนอกต่อไปแล้วเป็นลมเป็นแล้งขึ้นมาจะทำอย่างไรเล่าขอรับ กลับไปเถอะๆ”
“ข้ามิได้จะแก้เหงา ทั้งมิใช่เดินเล่นเรื่อยเปื่อย ท่านทั้งสองน่าจะรู้ว่าท่านผู้บัญชาการเจียงมีบุตรสาวคนหนึ่งกระมัง”
ทหารยามสองคนฟังแล้วชักรู้สึกไม่เข้าที พวกเขาสบตากัน
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งพูดต่อโดยไม่สนใจ “ในวันนี้เองบุตรสาวท่านผู้บัญชาการเจียงทำให้หลานสาวคนที่สามของข้าเสียโฉม เดิมทีเรื่องนี้สมควรไปพบกับฮูหยินในเรือนหลัง แต่ข้าได้ยินมาว่าท่านผู้บัญชาการเจียงมิได้ตบแต่งภรรยาใหม่มาโดยตลอด ฉะนั้นจึงมาทวงความรับผิดชอบจากเขาที่นี่”
เสียโฉม?
ทหารยามสองคนมองหน้ากันไปมาพลางลอบคิดคำนึง นี่เป็นเรื่องที่คุณหนูเจียงกระทำได้จริงๆ กระนั้นอย่าว่าแต่เสียโฉมเลย ถึงจะจบชีวิตไปแล้วมีอันใด ยังมีคนกล้ามาทวงความรับผิดชอบถึงที่อีกหรือ นี่คงเบื่อชีวิตแล้วกระมัง
ทหารยามคนหนึ่งละเอียดรอบคอบกว่า เขาเอ่ยถามขึ้น “ไม่ทราบว่าท่านผู้เฒ่าเป็นคนตระกูลใดขอรับ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งบอกด้วยสีหน้าขึงขัง “บุตรชายคนโตของข้าเป็นขุนนางในสำนักราชบัณฑิต”
“หรือท่านคือฮูหยินของเสนาบดีซู” พวกทหารยามตกอกตกใจ
ซูเหอเสนาบดีกรมพิธีการควบตำแหน่งหัวหน้าสำนักราชบัณฑิตคนปัจจุบันนั้นเป็นตัวเต็งที่จะก้าวเข้าสู่สภาขุนนาง
จะเป็นราชมนตรีหรือเสนาบดีอะไรก็ตามแต่ มาตรว่าท่านผู้บัญชาการใหญ่ของพวกเขาหาได้เกรงกลัวไม่ แต่คุณหนูเจียงทำร้ายคุณหนูของตระกูลใหญ่ชั้นนี้จริงๆ ก็จำเป็นต้องรายงานให้ท่านผู้บัญชาการใหญ่ทราบ
“ฮูหยินของเสนาบดีซูอะไรกัน ข้าบอกแล้วมิใช่หรือว่าบุตรชายคนโตของข้าเป็นขุนนางในสำนักราชบัณฑิต”
“บุตรชายคนโตของท่านเป็น…”
“อ้อ เขาเป็นอาลักษณ์ของสำนักราชบัณฑิต”
อาลักษณ์ของสำนักราชบัณฑิต?
องครักษ์สองคนแทบนึกว่าตนหูฝาด พวกเขาสงบใจครู่ใหญ่ถึงโบกมือไปมาพลางกล่าว “ท่านผู้เฒ่า ท่านรีบกลับไปโดยเร็วไวจะดีกว่า อย่ามาก่อกวนที่นี่!”
“อะไรกัน เป็นฮูหยินของเสนาบดีซูสามารถพบผู้บัญชาการของพวกท่านได้ แต่เป็นมารดาของอาลักษณ์ในสำนักราชบัณฑิตก็คือก่อกวนที่นี่หรือ” สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าขึ้งเคียดเต็มที่ นัยน์ตาทั้งคู่แฝงรอยโทสะแกมเยาะหยัน
พวกทหารยามรักษาสีหน้าไม่อยู่อีก ความอดทนที่มีอยู่อย่างจำกัดก็ขาดผึงลง พูดด้วยน้ำเสียงดุร้าย “รีบๆ ไปเสีย ท่านผู้บัญชาการใหญ่ของพวกข้าเข้าวังไปแล้ว ไม่ว่าท่านจะเป็นใครมาจากที่ใด วันนี้ล้วนไม่ได้พบทั้งสิ้น”
พวกเขายื่นมือผลักนางออกไป พวกบ่าวไพร่ด้านข้างก็ร้องเอะอะขึ้น “เจ้าหน้าที่ทางการพวกนี้ ไฉนทุบตีชาวบ้านได้เล่า!”
พวกนางล้วนเสียงดัง อีกทั้งเป็นสตรีทั้งกลุ่ม จึงดึงดูดความสนใจของคนที่เดินอยู่บนถนนไกลออกไปได้ทันที แม้นคนพวกนั้นไม่กล้าเข้าใกล้ที่ว่าการกององครักษ์จินหลิน แต่การมุงดูนั้นเป็นวิสัยของปุถุชนทั่วหล้า พวกเขาต่างหยุดยืนมองอยู่ไกลๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“ขืนยังไม่ไปอีก พวกข้าจะเอาจริงแล้วนะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งยกมือขึ้น “พวกเราไปกัน”
เห็นหญิงชราหมุนกายเดินไป ทหารยามสองคนก็นึกในใจ ยายเฒ่าผู้นี้ยังนับว่ารู้กาลเทศะ!
ประเดี๋ยวก่อน ยายเฒ่าคิดจะทำอะไรนี่