“คุณหนูหลี ตอนนี้ท่านพูดไม่ได้?”
เฉียวเจากะพริบตา
หากไม่ใช่เช่นนั้นจะเป็นนางกินอิ่มแล้วไม่มีอะไรทำ จึงชม้ายชายตาให้เขาตลอดตอนอยู่นอกที่ว่าการหรืออย่างไร
ในใจชายหนุ่มรู้สึกผิดอยู่หลายส่วน แต่ถุงผ้าปักใบนั้นเป็นเรื่องที่เขาอยากรู้จนทนรอไม่ไหว กระทั่งผู้มีความอดทนเฉกเขาก็ไม่อาจสะกดความร้อนรนนี้ไว้ได้
“ถุงผ้าปักใบนี้เป็นของท่านใช่หรือไม่”
เฉียวเจาพยักหน้า
“เพราะอะไรท่านถึงมีถุงผ้าปักเช่นนี้ แล้วไฉนถึงปักตาเป็ดเป็นสีเขียว” เจียงหย่วนเฉาหลับตาแล้วลืมตาขึ้นจ้องนางเขม็ง “ข้าเคยเห็นถุงผ้าปักเช่นนี้มาก่อน อย่าบอกว่านี่เป็นแค่ความบังเอิญ”
เขาสืบเท้าขึ้นหน้าหนึ่งก้าว ใช้นิ้วเชยคางเด็กสาวขึ้นแล้วกล่าวเอื่อยๆ “คนที่เป็นองครักษ์จินหลินปกติแล้วไม่เชื่อเรื่องความบังเอิญ คุณหนูหลี ท่านเป็นคนฉลาด อย่าทดสอบความอดทนของข้าดีหรือไม่”
เขาก้มศีรษะแล้วยื่นหน้าไปริมใบหูเฉียวเจา พลางพูดกระซิบ “อย่าลืมนะว่าบิดามารดาและคนในครอบครัวท่านล้วนดื่มชาอยู่ในห้องด้านข้าง”
ดวงตาของเฉียวเจาทอประกายกร้าววูบหนึ่ง องครักษ์จินหลินล้วนเป็นพวกบัดซบเลือดเย็นไร้ความรู้สึกดังคาด!
ก่อนหน้านี้พบกันหลายครั้ง ดีชั่วเจ้าคนตรงหน้าผู้นี้ยังรักษากิริยามารยาทดูเป็นผู้เป็นคนอยู่ แต่พอเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับตนเองก็เผยธาตุแท้ออกมาจนสิ้น
ทว่าแค่ถุงผ้าปักใบหนึ่ง เขาจะคาดคั้นอย่างไม่ลดละไปด้วยเหตุใดกัน
เป็นคราครั้งแรกที่เฉียวเจาจับต้นชนปลายไม่ถูกโดยสิ้นเชิง
หากเปลี่ยนเป็นฉือชั่นซึ่งมีนิสัยเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย นางยังไม่รู้สึกแปลกใจ แต่เจียงหย่วนเฉาในความรู้สึกของนางเป็นพวกน้ำนิ่งไหลลึกพอสมควร คนที่ได้นั่งตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการกององครักษ์จินหลินตั้งแต่อายุยังน้อยได้ จะควบคุมตนเองไม่อยู่จนฉุดนางเข้ามาในห้องต่อหน้าธารกำนัลเช่นนี้ได้อย่างไร คนผู้นี้ฟั่นเฟือนไปแล้วหรือ
“เจ้ามีความสัมพันธ์อะไรกับสกุลเฉียวแห่งจยาเฟิงกันแน่”
เฉียวเจาสั่นสะท้านไปทั้งกาย
เจียงหย่วนเฉาจ้องตาเฉียวเจาตรงๆ พร้อมเอ่ยถามซ้ำ “หรือจะพูดว่าเจ้ากับคุณหนูใหญ่สกุลเฉียวมีความสัมพันธ์อะไรกัน”
เฉียวเจากลับสงบจิตใจลงได้แล้ว นางอยากเหยียดมุมปากขึ้นทว่าทำไม่ได้ ได้แต่ใช้นิ้วขีดเขียนบนฝ่ามือเขาว่า ‘คุณหนูเฉียวกับท่านมีความสัมพันธ์อะไรกัน’
เจียงหย่วนเฉาตอบไม่ออก
คุณหนูเฉียวกับเขามีความสัมพันธ์อะไรกัน แน่นอนว่าไม่มีความสัมพันธ์ใดต่อกันสักนิด
ความเกี่ยวข้องเพียงประการเดียวคือเขาลอบมีจิตปฏิพัทธ์ต่อคุณหนูเฉียวข้างเดียว ส่วนคุณหนูเฉียวไม่มีทางได้รับรู้อีกแล้ว และเขาก็หมดโอกาสที่จะได้เอื้อนเอ่ยออกจากปากไปตลอดกาล
นัยน์ตาสุกใสแวววาวทั้งคู่ของเด็กสาวดำขลับดุจน้ำหมึก ต่อให้อยู่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ นางยังปราศจากท่าทางแตกตื่นลนลานให้เห็น มีเพียงความสงบเยือกเย็น
กระนั้นสายตาเช่นนี้ก็ทำให้เขาปล่อยใจลอยไปไกลโดยไม่รู้ตัว หวนประหวัดถึงคนผู้นั้นครั้งแล้วครั้งเล่าอยู่ไม่วาย
เจียงหย่วนเฉาพูดไม่ออกบอกไม่ถูกว่าอารมณ์ชั่ววูบนี้มาจากที่ใด ขณะมองสบดวงตาคู่นี้ เขากล่าวอย่างช้าๆ ว่า “ข้าชมชอบนาง”
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน กรกฎาคม 65)