ตอนเซ่าหมิงยวนพาคนกลับไปที่เรือนของหญิงขายเต้าหู้ ฉือชั่นกับหยางโฮ่วเฉิงเห็นแล้วพากันตกใจยกหนึ่ง
“นี่…นี่เป็นคนในภาพวาดของคุณหนูหลีมิใช่หรือ” หยางโฮ่วเฉิงดึงตัวเซ่าหมิงยวนไปนอกเรือน เอ่ยถามเสียงค่อยๆ
“อื้อ” เซ่าหมิงยวนผงกศีรษะ
ฉือชั่นที่อยู่ด้านข้างถอนใจเบาๆ “หลีซานวาดได้เหมือนดีแท้”
หยางโฮ่วเฉิงพูดเออออไม่หยุด “เหมือนเป็นที่สุด ข้ามองปราดเดียวก็ดูออกแล้ว ถิงเฉวียน พวกเจ้าหาคนผู้นี้เจอได้อย่างไร”
เซ่าหมิงยวนยิ้มน้อยๆ “เดินเข้ามาติดกับดักเอง คนผู้นี้สะกดรอยตามข้ามาตลอดหลายวันนี้”
“สะกดรอยตามเจ้า?” หยางโฮ่วเฉิงขบขันอย่างสุดระงับ “คนผู้นี้รนหาที่ตายรึ”
“ไม่ใช่ ฝีมือเขายอดเยี่ยมอย่างยิ่ง ต้องบอกว่าเขาโชคไม่ดีเอง”
ถ้าเจ้านั่นสะกดรอยตามคนอื่น คงไม่พบกับบทลงเอยเช่นนี้
“หลีซานเล่า นางกลับมาถึงก็เข้าห้องแล้วไม่ออกมาเลยหรือ” ยามเอ่ยถึงเฉียวเจา สีหน้าของฉือชั่นไม่ผิดไปจากเดิมอีก ประหนึ่งว่าความรักแบบเด็กหนุ่มนั่นไม่เคยปรากฏมาก่อน
หยางโฮ่วเฉิงเบิกตากว้างกะทันหัน เขาเลียริมฝีปากแล้วกล่าว “คุณหนูหลีออกมาแล้ว”
ทั้งสามหันไปมองก็เห็นเด็กสาวในชุดเรียบๆ ถือท่อนเหล็กเขี่ยไฟเดินมา
ฉือชั่นกับหยางโฮ่วเฉิงมองหน้ากันไปมา เห็นชัดว่าไม่กระจ่างแจ้งว่านี่เป็นเรื่องอะไรกัน
ส่วนเซ่าหมิงยวนรู้สึกหนังศีรษะชาวาบ เขายิ้มแหยๆ พลางกล่าวว่า “เจาเจา เหล็กเขี่ยไฟหนักหรือไม่”
ฉือชั่นกับหยางโฮ่วเฉิงกลอกตาขึ้นพร้อมกัน
พวกเขารู้สึกไม่วายว่านับแต่สหายรักเปิดเผยความรู้สึกที่มีต่อคุณหนูหลีแล้วยิ่งมายิ่งหัวทื่อ
“ไม่หนัก” เฉียวเจาเม้มปาก นางกล่าวถาม “คนผู้นั้นอยู่ข้างในหรือ ข้าไปดูสักหน่อย”
นางกล่าวจบแล้วไม่รอดูท่าทีของคนทั้งสาม ถือท่อนเหล็กเขี่ยไฟก้าวเท้าเข้าไป
“เส้นเอ็นข้อมือของคนผู้นั้นขาดแล้ว หรือว่าคุณหนูหลีจะทำแผลให้เขา” หยางโฮ่วเฉิงพูดอย่างไม่แน่ใจ ภาพท่อนเหล็กเขี่ยไฟหนาๆ ในมือเด็กสาวแท่งนั้นวาบผ่านเข้ามาในหัวสมองไม่หยุด
ฉือชั่นยิ้มเยาะ “ดูสีหน้าของหลีซานแล้ว เจ้ารู้สึกว่าใช่หรือไม่เล่า”
เซ่าหมิงยวนตามเข้าไปโดยไม่รอช้า
อีกสองคนเห็นแล้วตามไปด้วยทันที
เพลานี้หลิวหู่ที่เส้นเอ็นข้อมือขาดและกรามหลุดถูกมัดมือมัดเท้านั่งนิ่งไม่กระดุกกระดิกอยู่บนเก้าอี้ เด็กสาวสวมชุดสีเรียบนางหนึ่งพลันเดินเข้ามามองเขาด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
“เจ้ามีนามว่าอะไร” เฉียวเจาไต่ถาม
“เจาเจา เขาโดนดึงกรามหลุด พูดไม่ได้”
ดึงกรามให้หลุดย่อมเพื่อป้องกันเขาฆ่าตัวตาย
เฉียวเจาสาวเท้าไปตรงหน้าหลิวหู่ ล้วงยาลูกกลอนเม็ดหนึ่งในถุงผ้าปักยัดใส่ปากเขาก่อนจะหันมาบอก “แม่ทัพเซ่า จับกรามเขากลับเข้าทีเถอะ”
เซ่าหมิงยวนก้าวเข้าไปยื่นมือบิดกรามเขาทีหนึ่ง
หลิวหู่ขยับๆ ปากพบว่าขยับได้แล้ว ทว่าปากด้านในอ่อนแรงไร้กำลัง แม่นางน้อยผู้นี้ให้เขากินอะไรกันแน่
“พูดได้แล้วนะ บอกนามของเจ้ามา” เฉียวเจาถามเสียงเย็นๆ
หลิวหู่เหยียดยิ้มไม่กล่าววาจา
นางเลิกคิ้วขึ้น พูดอย่างคับข้องหมองใจเป็นอันมาก “เขาไม่พูดเองนะ เช่นนั้นข้าได้แต่ให้เขาเจ็บตัวเล็กๆ น้อยๆ แล้วล่ะ”
กล่าวจบนางก็เงื้อท่อนเหล็กเขี่ยไฟในมือตีลงไปบนตัวหลิวหู่
เฉียวเจาเป็นหมอจึงแจ่มแจ้งดีที่สุดว่าส่วนใดบ้างเป็นจุดอ่อนที่ตีไม่ได้ นางหลบเลี่ยงจุดเหล่านั้น ออกแรงฟาดท่อนเหล็กเขี่ยไฟพร้อมกับนับในใจ หนึ่งที สองที สามที…
หยางโฮ่วเฉิงสะกิดสหายรักด้านข้างด้วยสีหน้างงงัน “สือซี เพราะอะไรข้ารู้สึกว่าคุณหนูหลีหาเหตุผลอะไรสักอย่างก็ได้เพื่อซ้อมเขา”
“เจ้าไม่พูด ก็ไม่มีใครนึกว่าเจ้าเป็นใบ้หรอกนะ” ฉือชั่นกล่าวเอื่อยๆ
ตีพวกที่ขวางหูขวางตาไม่กี่ทีแล้วเป็นอย่างไรหรือ แค่ไม่รู้ว่าเจ็บมือหรือไม่..
เฉียวเจาไม่แยแสความคิดของคนอื่น นางนับในใจจนถึงยี่สิบหกที แล้วยังตีแทนพวกนางสามพี่น้องอีกคนละหนึ่งทีถึงโยนท่อนเหล็กเขี่ยไฟไปด้านข้าง หยุดหอบหายใจน้อยๆ
ตอนที่ตีไปได้ยี่สิบหกที นางก็ใช้เรี่ยวแรงในกายไปจนหมดสิ้น กระนั้นคนที่สังหารชาวสกุลเฉียวไปยี่สิบหกชีวิตกลับสบายเช่นนี้
หากทำได้นางอยากสับคนผู้นี้เป็นหมื่นๆ ชิ้นถึงจะหายแค้นใจ
เพียงน่าเสียดายที่นางต้องไว้ชีวิตเขาเพื่อชี้ตัวผู้บงการที่แท้จริง
“พวกเราออกไปเถอะ คนพรรค์นี้ไม่จำเป็นต้องสอบปากคำ” เซ่าหมิงยวนปริปากพูด
ใช่ว่ายอดฝีมือระดับนี้ไม่จำเป็นต้องสอบปากคำ แต่ต้องใช้วิธีพิเศษ คนทั่วไปถามไม่ได้ความอันใดหรอก
เซ่าหมิงยวนดึงกรามของหลิวหู่ให้หลุดออกอีกครั้ง จากนั้นพวกเขาก็ออกไปพร้อมกัน
“ฉงซาน คืนนี้บอกคนของเจ้าว่าอย่านอนหลับ ตกดึกน่าจะมีศึกหนัก”
หยางโฮ่วเฉิงฟังแล้วอดฉีกปากยิ้มฝืดๆ ไม่ได้ “ถิงเฉวียน เจ้าอย่าขู่ให้ข้าตกใจ ผู้ใต้บังคับบัญชาข้าพวกนั้นให้กินดื่มเที่ยวเล่นข่มขู่คนน่ะได้ แต่ศึกหนักคงไม่ไหว”