เซียวเฉียงมองไปทางกวนจวินโหว
กลางกองทหารนับพัน ร่างคนหนุ่มผู้นั้นสูงเด่นผึ่งผาย สายตาเย็นเยือก มุมปากประดับรอยยิ้มไม่สะทกสะท้านราวกับว่าความสับสนวุ่นวายตรงหน้าไม่ส่งผลใดๆ ต่อเขาแม้สักเศษเสี้ยว
เขาถึงขั้นเหลียวไปมองประตูลานเรือนเบื้องหลัง ยามที่หันศีรษะกลับมา มีแววอ่อนโยนผุดขึ้นในดวงตาวูบหนึ่ง
เซียวเฉียงถอนใจเฮือกหนึ่งอย่างสุดระงับ
นี่ก็คือกวนจวินโหวผู้ที่ราษฎรต้าเหลียงในแดนเหนือเห็นเป็นเทพสวรรค์ สมคำเล่าลือโดยแท้
ทอดสายตามองไปทั่วหล้า ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมามีทหารนักรบมากมายประหนึ่งดวงดาวบนฟ้า ทว่าคนที่เทียบเคียงคนตรงหน้าผู้นี้ได้น่าจะเป็นเจิ้นหย่วนโหวเมื่อยี่สิบปีก่อนแล้ว
เพียงน่าเสียดาย…
เซ่าหมิงยวนคล้ายรับรู้ได้ เขาเบนสายตามองไปที่เซียวเฉียง
เซียวเฉียงดึงความคิดคืนมา ประสานมือคารวะเขาจากระยะไกล
ชายหนุ่มคารวะตอบ เขาเห็นว่าสถานการณ์อยู่ภายใต้การควบคุมโดยสิ้นเชิงแล้วก็หมุนกายเดินเข้าลานเรือนทันที
เฉียวเจาเงี่ยหูฟังเสียงความเคลื่อนไหวจากด้านนอก นางเอ่ยถามเฉินกวง “ยุติลงแล้วใช่หรือไม่”
“น่าจะยุติแล้วขอรับ” เฉินกวงพลันขมวดคิ้ว “มีคนมาแล้ว คุณหนูหลีลองเดาดูสิว่าเป็นใครขอรับ”
นางพิศดูสีหน้าเขาแล้วเลิกคิ้วเอ่ยขึ้น “แม่ทัพเซ่า?”
เฉินกวงฉีกยิ้มกว้างอวดฟันขาวทั้งปากทันใด “ถูกต้อง เป็นท่านแม่ทัพของพวกเรานั่นเอง เสียงฝีเท้าของท่านแม่ทัพคุ้นหูข้าดี…”
แย่แล้ว พลั้งปากจนได้ ตอนแรกอยากจะดูคุณหนูหลีเป็นห่วงท่านแม่ทัพสักหน่อย
เซ่าหมิงยวนปรากฏกายขึ้นตรงหน้าประตู
เฉินกวงลุกลนวิ่งออกไป “ท่านแม่ทัพ คุณหนูสามรอคอยท่านอยู่ตลอด พวกท่านคุยกันตามสบายนะขอรับ”
เซ่าหมิงยวนก้าวเข้าไปอย่างจับต้นชนปลายไม่ถูก “เฉินกวงจะวิ่งไปที่ใด”
“คงจะเป็นวัวสันหลังหวะกระมัง” เฉียวเจาเดินเข้าไปหาเขา
“หือ?” เขางงงันไป
นางไม่พูดเรื่องนี้ต่อ เพียงมองสำรวจเขาขึ้นๆ ลงๆ รอบหนึ่งแล้วสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย “ท่านบาดเจ็บแล้วหรือ”
“เปล่า ล้วนเป็นเลือดของคนอื่น…” เขากล่าวถึงตรงนี้แล้วย่นหัวคิ้วเข้าหากัน
“เป็นอะไร”
แม่ทัพหนุ่มสูดปากเบาๆ ทีหนึ่ง “เจ็บตรงไหล่ซ้ายอยู่บ้าง”
ปกติแผลเล็กๆ พวกนี้ในสายตาของเขาล้วนไม่นับว่าบาดเจ็บ แต่จังหวะนี้ไม่ให้เจาเจาสงสารเขาสักหน่อย เขาก็เป็นคนโง่แล้ว
“ข้าขอดูหน่อย” เฉียวเจาได้ยินก็ขมวดคิ้วจริงๆ นางเขย่งปลายเท้าขึ้นแล้วยกมือดึงเสื้อของเขาลงเบาๆ เผยหัวไหล่ซ้ายออกมา
เซ่าหมิงยวนหน้าแดงเรื่อๆ “เลือดทั้งนั้น เปื้อนมือเจ้าหมดแล้ว”
นางขึงตาใส่เขา “ตอนนี้ท่านจะพูดเรื่องไม่สลักสำคัญอย่างนี้ไปด้วยเหตุใด”
รอยแผลฉีกขาดเหวอะหวะตรงไหล่ซ้ายทำให้ดวงตาของเฉียวเจาทอแววตึงเครียด นางรู้สึกแปลบปลาบใจอย่างปราศจากเหตุผล แต่ปากยังพูดดุเขา “ไหนบอกว่าล้วนเป็นเลือดของคนอื่นมิใช่หรือ ตรงนี้มีแผลไม่เล็กเลยนะ”
มาตรว่าบาดแผลภายนอกไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่ร่างกายคนไม่ได้ตีจากเหล็ก ย่อมต้องเจ็บแน่นอน
“ปวดหรือไม่” จู่ๆ ชายหนุ่มก็ถามขึ้น
เฉียวเจางุนงงกับคำถามนี้ ปวดหรือไม่ตัวเขาไม่รู้หรือไร ไฉนถึงถามนาง
แม่ทัพหนุ่มก้มหน้าหัวเราะ เขาจ้องตาเด็กสาว “เจาเจาปวดใจหรือไม่”