เขาอยู่ในกององครักษ์จินอู๋อาจมีตำแหน่งไม่สูงไม่ต่ำ แต่ก็นับเป็นหัวหน้าหน่วยเล็กๆ ผู้หนึ่ง มีคนเหลือขออยู่ใต้อาณัติโขยงหนึ่ง จะด่าทอทุบตีก็ไม่ได้ พอได้รับพระบัญชาออกมาต่างเมืองยังต้องคอยเอาใจเจ้าลูกเต่าพวกนั้นอีก เป็นหัวหน้าหน่วยเช่นนี้ก็น่าคับอกคับใจนัก!
เซ่าหมิงยวนมองสหายแต่วัยเยาว์ที่มองตนตาเขม็งแล้วกล่าวด้วยสีหน้านิ่งเฉย “ไม่ต้องอบรมสั่งสอน มีคนหนีทัพกลางสมรภูมิก็ฆ่าทิ้งเซ่นธงรบเป็นอันสิ้นเรื่อง”
รอยยิ้มตรงมุมปากของหยางโฮ่วเฉิงนิ่งค้างไป วิธีนี้ทำไม่ได้จริงๆ ขืนฆ่าเจ้าผู้ใต้บังคับบัญชาบังเกิดเกล้าพวกนั้นทิ้งสักคน เขาก็ต้องหัวปั่นแล้ว
“ดังนั้นถึงบอกว่าไปสนามรบถึงจะสาแก่ใจ!”
“หยางเอ้อร์ เจ้าถอดใจเถอะ ถิงเฉวียนไม่มีทางพาเจ้าไปสนามรบ” ฉือชั่นกล่าวเสียงเย็นๆ
“เหตุใดจะไม่ได้”
“เพราะท่านพ่อท่านแม่ของเจ้ามีเจ้าเป็นบุตรชายคนเดียว หากถิงเฉวียนพาเจ้าไปสนามรบ พวกเขาต้องไปพังจวนกวนจวินโหวแน่”
หยางโฮ่วเฉิงถอนหายใจแรงๆ เฮือกหนึ่ง
“สือซี ฉงซาน พวกเราไปเสาะหาตัวยากันก่อน เมื่อสะสางเรื่องนี้เรียบร้อยแล้วพวกเจ้าก็พากององครักษ์จินอู๋ออกจากเขตชายทะเลกลับมารอพวกข้าที่จยาเฟิงก่อน”
“รอพวกเจ้า?” ดวงตาของฉือชั่นทอแววเครียด
หยางโฮ่วเฉิงเกาท้ายทอย “นั่นน่ะสิ ถิงเฉวียน นี่เจ้าหมายความว่าอะไร”
เซ่าหมิงยวนมองเฉียวเจาแวบหนึ่งก่อนกล่าวอธิบาย “ข้ากับเจาเจาคาดคะเนว่าทางสิงอู่หยางไม่ใคร่ชอบมาพากล พวกเจ้าอย่าเข้ามาพัวพันกับเรื่องนี้จะดีกว่า สิงอู่หยางไม่เหมือนกับเจ้าเมืองหลี่ที่เป็นขุนนางฝ่ายบุ๋น จะสร้างความวุ่นวายปานใดก็ก่อคลื่นลมไม่ได้มากเท่าไร ทว่าสิงอู่หยางผิดแผกออกไป เขาเป็นแม่ทัพใหญ่ที่กุมกำลังทหารจำนวนมากไว้ในมือ เขาครองอำนาจในดินแดนชายทะเลมานานปี ปะทะกันซึ่งๆ หน้าไม่ต่างกับเอาไข่กระทบหิน”
“ถึงอย่างนั้นพวกข้าก็ปล่อยให้พวกเจ้าสองคนเสี่ยงอันตรายไม่ได้” หยางโฮ่วเฉิงส่ายหน้าเป็นพัลวัน “พวกข้าหลบอยู่ในที่ปลอดภัยมองดูพวกเจ้าบุกเข้าถ้ำเสือแดนมังกร พวกข้าจะกลายเป็นคนจำพวกใดกัน”
“พี่หยาง นี่มิใช่เวลาพูดถึงคุณธรรมน้ำใจระหว่างพี่น้อง เรื่องที่พวกเราก่อขึ้นในจยาเฟิงมิใช่เล็กๆ คงต้องแพร่ไปถึงเมืองหลวงแล้ว ทางเมืองหลวงคงส่งข่าวเตือนให้สิงอู่หยางระวังตัวมากขึ้นอย่างแน่นอน เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราเสาะหาตัวยาเสร็จก็เข้าไปในอาณาเขตของเขากะทันหัน เกรงว่ายังไม่ทันได้ทำอะไรคงโดนเขาเล่นงานแล้ว แต่พวกข้าไปแค่สองคนเป้าหมายจะเล็กกว่ามาก กลับกระทำการได้สะดวกเจ้าค่ะ”
เฉียวเจาพูดจนหยางโฮ่วเฉิงอับจนวาจา
ฉือชั่นถามโพล่งขึ้น “ในเมื่อทางสิงอู่หยางนั่นมีอันตรายมากมาย ถิงเฉวียน เจ้าจะรับรองความปลอดภัยของหลีซานได้หรือ”
เซ่าหมิงยวนเลิกคิ้วยิ้มๆ “ข้าย่อมจะปกป้องนางให้ปลอดภัยเป็นธรรมดา”
เข้าถ้ำเสือแดนมังกร มีคนมากเขาอาจจะดูแลไม่ทั่วถึง หากมีเจาเจาคนเดียว เขาไม่มีทางปล่อยให้ใครทำร้ายนางแม้แต่ปลายเส้นผม
“หวังว่าเจ้าจะทำได้อย่างที่เจ้าพูดในวันนี้” ฉือชั่นกล่าวเสียงเรียบ
เรือแล่นไปได้หลายวัน ผืนน้ำกว้างขวางขึ้นทีละน้อย
เมื่อเรือจอดเทียบท่าที่เมืองเล็กๆ ริมทะเล ทุกคนเริ่มตระเตรียมสิ่งของสำหรับออกทะเล ด้วยเหตุนี้จึงตัดสินใจหยุดจัดขบวนเดินทางใหม่และพักผ่อนหย่อนใจวันหนึ่งที่นั่น
ตำบลนี้ไม่มีชื่อเพราะว่าเป็นจุดแวะพักของคนที่จะออกทะเลส่วนใหญ่ ผู้คนล้วนเรียกมันว่า ‘ท่าปากทะเล’
ยามกลุ่มของเฉียวเจาเข้าเมือง ยิ่งเดินลึกเข้าไปก็ยิ่งรู้สึกแปลกๆ ชอบกล ชาวบ้านที่นี่มองมาทางพวกนางด้วยสายตาผิดปกติอยู่บ้าง
ทุกคนอดชะลอฝีเท้าไม่ได้
หยางโฮ่วเฉิงพูดเสียงกระซิบกระซาบ “ที่นี่ไม่ค่อยปกติ แต่ว่าไม่ปกติตรงที่ใดก็บอกไม่ถูก ทำให้ใจคอไม่ดีจริงๆ”
เฉียวเจาลอบมองสำรวจทั้งสี่ทิศแล้วขมวดคิ้วมากขึ้นเรื่อยๆ
ตำบลนี้แปลกประหลาดอย่างยิ่งจริงๆ ในเมืองมีคนเดินขวักไขว่ไปมา รูปลักษณ์และการแต่งกายล้วนมีเอกลักษณ์ของผู้คนแถบชายทะเลแดนใต้ตามที่เอ่ยถึงในบันทึกการเดินทางที่นางเคยอ่าน แล้วความรู้สึกชอบกลของทุกคนนั้นมาจากสิ่งใดกันแน่
นางลอบสังเกตคนบนถนนพวกนั้น ก็ประจักษ์ได้อย่างเฉียบไวว่าสายตาของพวกเขาล้วนจับจ้องมาที่นางทางนี้แล้วอดสะดุดใจไม่ได้
ปกติตำบลริมทะเลเช่นนี้เป็นที่ที่มีผู้คนหลายหลากประเภทปะปนกัน คนที่นี่ดูจะให้ความสนใจคนต่างถิ่นเช่นพวกนางอย่างจดจ่อเกินไป ซ้ำยังแฝงไว้ด้วยความสงสารและเห็นใจอยู่รางๆ ด้วย
สงสารและเห็นใจ?
เฉียวเจาชะงักฝีเท้า นางกระจ่างแจ้งในที่สุดว่าตรงที่ใดไม่ปกติ