บทที่ 432
เฉียวเจายื่นมือไปดึงเซ่าหมิงยวนไว้ นางลดสุ้มเสียงลงกล่าว “พี่เซ่า ข้ารู้แล้วว่าไม่ปกติตรงที่ใด”
แม่ทัพหนุ่มได้ยินคำเรียกขานว่า ‘พี่เซ่า’ ก็ใจสั่นหวิวๆ สีหน้าแววตาแต้มด้วยรอยยิ้ม “เอ๊ะ?”
มุมปากของเฉียวเจากระตุกริก นางอยากมองค้อนคนบางคน แต่ก็รู้สึกขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยว่าท่าทางยิ้มซื่อๆ ของเขาละม้ายเจ้าสุนัขหางยาวที่ตนเคยเลี้ยงไว้ตอนอยู่ที่สวนซิ่งจื่อเมื่อหลายปีก่อนเป็นที่สุด ดูทึ่มๆ ทื่อๆ
ต่อมาเจ้าสุนัขหางยาวตัวนั้นหนีออกจากเรือนไปมิได้กลับมาอีกเลย ท่านปู่บอกว่านั่นเป็นเพราะมันถึงอายุขัยแล้วไม่อยากให้นางเห็นสภาพตอนมันจากโลกนี้ไปก็เลยแอบไปซ่อนตัว ตอนนั้นนางเสียใจมากอยู่พักหนึ่ง
เฉียวเจามองชายหนุ่มอย่างห้ามใจไม่อยู่พลางนึกในใจ หากวันหนึ่งเขาหายตัวไป นางจะเป็นอย่างไรนะ
บางทีอาจจะเศร้าใจอยู่บ้างกระมัง…
เมื่อคิดไปเช่นนี้แม่นางเฉียวก็ไม่มองค้อนเขาแล้ว นางดึงความคิดที่ลอยไปไกลคืนมาแล้วพูดเสียงค่อย “ตำบลนี้ไม่มีหญิงสาวเลย”
ไม่ต้องเอ่ยถึงที่ที่ธรรมเนียมประเพณีไม่เคร่งครัดเช่นเมืองเล็กๆ ริมทะเล ถึงเป็นบนถนนสายใหญ่ของเมืองหลวง สตรีวัยสาวที่พาสาวใช้หรือหญิงรับใช้วัยกลางคนออกมาเดินเที่ยวตลาดก็ยังมีไม่น้อย
ในตำบลนี้มีคนบนถนนไม่น้อยกลับไม่มีหญิงสาวสักคนเดียว ออกจะแปลกชอบกลเกินไปแล้วจริงๆ
เซ่าหมิงยวนกวาดตามองปราดหนึ่ง เป็นดังเช่นที่เฉียวเจากล่าวจริงๆ ผู้คนที่เดินสัญจรไปมาส่วนใหญ่ล้วนเป็นบุรุษมากหน้าหลายตา นานๆ ถึงจะเห็นสตรีสักคน แต่ล้วนอยู่ในวัยสี่สิบเศษ
คนพวกนั้นก็มองพวกเขาอย่างสำรวจตรวจตราเช่นกัน ทว่าสายตาหยุดอยู่ที่ตัวเฉียวเจากับสาวใช้สองคน
อันที่จริงความผิดปกตินี้ชัดเจนพอดู เมื่อมีคนเอ่ยสะกิดเตือนก็มองเห็นได้ แต่ถ้าไม่มีใครเจาะกระดาษกรุหน้าต่างชั้นนี้ให้ขาดก็จะกลายเป็นเงามืดใต้แสงตะเกียงซึ่งยากจับสังเกตได้เสมอ
เซ่าหมิงยวนมั่นใจว่าตนเองมีความช่างสังเกตไม่เลว ทว่ายังเป็นเพราะได้ยินเฉียวเจาบอกคำนี้ถึงแจ่มแจ้งในบัดดล
แน่นอนว่านี่เกี่ยวข้องกับที่เขาไม่ให้ความสนใจไปที่ตัวสตรีอื่นเป็นอันมาก
ในใจแม่ทัพหนุ่มเริ่มตื่นตัวระวัง เขาลอบเตือนตนเองว่าวันหน้าจะให้เกิดข้อผิดพลาดเฉกนี้อีกไม่ได้ จะบุรุษหรือสตรีอะไรก็ช่าง สำหรับเขาคนในใต้หล้านี้แบ่งได้เพียงสามจำพวกคือ เจาเจา สหายรัก และคนอื่น
ทุกคนเดินไปถึงหน้าร้านสุราแห่งหนึ่ง
“เข้าไปก่อนค่อยคุยกัน” เซ่าหมิงยวนเดินนำหน้าเข้าร้าน
เมืองเล็กริมทะเลต่างจากเมืองหลวงอันเจริญรุ่งเรือง เสี่ยวเอ้อร์ในร้านสุราเล็กๆ เพียงมองดูพวกเซ่าหมิงยวนแวบหนึ่งอย่างเกียจคร้าน ปราศจากท่าทางกระวีกระวาดต้อนรับอย่างอบอุ่นดังเช่นเสี่ยวเอ้อร์ในหอสุราที่เมืองหลวง จนกระทั่งเห็นเฉียวเจากับสาวใช้สองคนถึงได้หน้าเปลี่ยนสีไปถนัดตา เขาลุกพรวดขึ้นกะทันหัน “รีบๆ ไปเสีย”
หยางโฮ่วเฉิงตบโต๊ะดังปัง แล้วแค่นเสียงกล่าว “ที่นี่เป็นร้านสุรามิใช่หรือ! มีอย่างที่ใดถึงไล่แขกตอนกลางวันเช่นนี้”
เสี่ยวเอ้อร์เพิ่งเห็นได้ถนัดตาว่ามีบุรุษเรือนกายสูงใหญ่ยืนอยู่จนเต็มร้านสุราเล็กๆ
เขาโอดครวญในใจ เรื่องยุ่งเสียแล้ว เมื่อครู่มองปราดไปเห็นเด็กสาวสามคน ไม่ทันสังเกตว่าอีกฝ่ายมีคนมากถึงเพียงนี้
ผู้ดูแลร้านได้ยินเสียงเอะอะก็วิ่งออกมา เขามองเสี่ยวเอ้อร์ตาขุ่นเขียว “ทำงานประสาอะไร”
เสี่ยวเอ้อร์ทำหน้าคับข้องหมองใจ
เขาก็ไม่อยากทำอย่างนี้ แต่เด็กสาวสามคนนี้แผ่ประกายจับตาเหมือนกับทองคำ ใครจะมองไม่เห็นตั้งแต่แวบแรกเล่า
“ลูกค้าทุกท่าน ร้านสุราของเราเล็กเกินไป พวกท่านคงนั่งกันไม่พอ มิสู้ย้ายไปร้านอื่น…”
หยางโฮ่วเฉิงขยุ้มคอเสื้อของเขา พูดเสียงกระด้าง “หยุดพล่าม พวกข้าหิวแล้ว จะกินข้าวตอนนี้เลย”
ผู้ดูแลร้านโดนเค้นคอจนตาเหลือก ยกเท้าเตะเสี่ยวเอ้อร์ที่ยืนงงเป็นไก่ตาแตกทีหนึ่งพร้อมกับพูดเอ็ด “ยังไม่รีบเชิญท่านลูกค้าทั้งหลายนั่งลงอีก”
ร้านสุราเล็กๆ ยังมีห้องส่วนตัวห้องหนึ่งอย่างหาได้ยาก พวกเฉียวเจาเข้าไปนั่งในนั้น ส่วนคนอื่นๆ อยู่ในโถงร้าน
เมื่อสั่งอาหารเสร็จ เสี่ยวเอ้อร์ก็ลนลานผลุบออกไป
“พวกมะพลับนิ่มพรรค์นี้พูดดีๆ ไม่ชอบ ชอบให้ใช้กำลังอย่างนี้ล่ะ”
ระหว่างที่รออาหารขึ้นโต๊ะ พวกเขาเริ่มพูดคุยถึงสิ่งที่พบเห็นเมื่อครู่นี้