ต่อให้คนพวกนี้มอบสตรีสามนางนั้นให้ เขาก็ไม่คิดจะละเว้นใครสักคน ทำร้ายบุตรชายเขายังคิดจะจากไปอย่างปลอดภัยหรือ ฝันไปเถอะ!
นายตำบลกวาดตามองทุกคนอย่างช้าๆ แล้วพลันหมุนกายไปตะโกนพูดกับเหล่าคนที่มุงดู “มุงดูอะไรกันอยู่ ยังไม่ช่วยข้าจับตัวคนพวกนี้ไว้อีก!”
ชาวบ้านที่วิ่งออกมามุงดูต่างมองหน้ากันไปมา
ครอบครัวของนายตำบลไม่เคยทำความดีอันใด พวกเขาไม่อยากช่วยเหลือหรอกนะ
พอเห็นชาวบ้านยืนนิ่งเฉย นายตำบลแค่นหัวเราะ “พ่อแม่พี่น้องทั้งหลาย พวกท่านนึกว่านี่เป็นการช่วยข้าหรือ ไม่เลย นี่เป็นการช่วยตัวพวกเจ้าเองนะ!”
คนโง่เขลาพวกนี้คิดแต่จะสอดรู้สอดเห็น ช่างไม่คิดเสียเลยว่าหากยังเสาะหาสตรีที่เหมาะสมไม่ได้ รอเมื่อชาววอโค่วมาแล้วจะทำเช่นไร
ได้ยินนายตำบลกล่าวเช่นนี้ คนที่มุงดูอยู่ยังไม่ขยับดุจเก่า
เขาเห็นดังนั้นแล้วโกรธจนทนไม่ไหว พูดตวาดเสียงดังว่า “พวกเจ้าลืมชาววอโค่วไปแล้วหรือ! สตรีที่ส่งไปคราวก่อนมีอายุมากเกินไปก็ถูกพวกเขาตำหนิติเตียน หนนี้ใกล้จะครบกำหนดรอมร่อแล้ว ถึงตอนนั้นไม่มีคนส่งไปให้ พวกเจ้านึกว่าชาววอโค่วพวกนั้นถือศีลกินมังสวิรัติใช่หรือไม่”
ถ้อยคำนี้ทำให้คนที่มุงดูอยู่หน้าเสียไปถนัดตา สายตาซึ่งมองไปทางพวกเฉียวเจาก็ไม่ค่อยเหมือนเดิมแล้ว
นายตำบลพูดต่ออย่างไม่ลดละความพยายาม “พวกเจ้าลืมไปแล้วหรือว่าเมื่อก่อนชาววอโค่วเคยปล้นฆ่าวางเพลิงในตำบลนี้อย่างไร ใช่หรือไม่ว่าอยู่อย่างสงบสุขมานานเกินไปเลยกลายเป็นคนโง่งมไปแล้ว ถ้าพวกเจ้าปล่อยให้คนพวกนี้จากไปต่อหน้าต่อตา รอเมื่อชาววอโค่วมาถึง คนที่เคราะห์ร้ายก็คือพวกเจ้า!”
ได้ยินคำพูดของนายตำบล คนที่มุงดูอยู่เดินทีละก้าวเข้าไปล้อมพวกเฉียวเจาไว้
หยางโฮ่วเฉิงทำสีหน้าตะลึงงัน “เสียสติไปแล้วรึ คนพวกนี้ล้วนเสียสติไปแล้วกระมัง ยังมีความเป็นมนุษย์อยู่อีกหรือไม่”
ฉือชั่นกำดาบยาวที่เอวไว้แน่น กล่าวอย่างเยาะหยัน “ความเป็นมนุษย์? ธรรมชาติของมนุษย์นั้นเห็นแก่ตัว พวกเราไม่ได้เป็นอะไรกับพวกเขาสักหน่อย เอาตัวพวกเราไว้ส่งมอบให้ชาววอโค่ว พวกเขาก็ได้ยืดลมหายใจอยู่รอดต่อไปอีกวันไม่ใช่หรือ”
“เช่นนี้จะมีประโยชน์อะไร ถึงคราวต่อไปพวกเขาก็ต้องเคราะห์ร้ายอยู่ดีมิใช่หรือ” หยางโฮ่วเฉิงเพียงรู้สึกเหลือเชื่อ
“สามารถใช้คนต่างถิ่นที่ไม่มีความสำคัญอันใดฝ่าด่านในตอนนี้ไปได้ ใครยังจะคิดถึงคราวต่อไป” เซ่าหมิงยวนอ้าปากพูดอย่างใจเย็น
เมื่อเห็นฝูงชนย่างสามขุมเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ หยางโฮ่วเฉิงมีเหงื่อผุดขึ้นบนหน้าผาก “ถิงเฉวียน พวกเราจะเอาอย่างไร คนเหล่านี้เป็นชาวบ้านไร้ทางสู้ทั้งนั้น”
“เปิดเผยฐานะ หากยังทำให้พวกเขาล่าถอยไปไม่ได้ดุจเก่า เช่นนั้นค่อยใช้กำลังจนกว่าพวกเขาจะล่าถอย” แม่ทัพหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
ชาวบ้านไร้ทางสู้? ตอนอยู่แดนเหนือเขาพบเจอชาวบ้านเช่นนี้มานักต่อนัก ยามโหดร้ายทารุณขึ้นมาทำให้อ้าปากตาค้างได้เลย
แต่ว่าชาวบ้านที่แดนเหนือจะดุร้ายปานใด ก็ไม่ส่งสตรีต้าเหลียงไปบรรณาการให้ชาวต๋าจื่อเองกับมือเช่นนี้
คนที่เขาจะปกป้องคุ้มครองก็สมควรมีสิ่งที่คู่ควรให้ปกป้องคุ้มครอง ถ้าคนพวกนี้มุ่งหมายทำร้ายคนที่สำคัญที่สุดของเขาและสูญสิ้นความเป็นคนไปแล้ว เหตุอันใดเขาต้องปกป้อง ‘คน’ ที่ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นคนพวกนี้อีกเล่า
หยางโฮ่วเฉิงฟังแล้วยกมือชูป้ายคำสั่ง “พวกข้าคือกององครักษ์จินอู๋ที่ออกทะเลปฏิบัติหน้าที่ตามพระเสาวนีย์ของไทเฮา พวกเจ้ายังไม่รีบถอยไปอีก”
คนที่ตีวงล้อมเข้ามาชะงักฝีเท้าหันไปมองนายตำบล
เขาอึ้งงันไปเล็กน้อยก่อนกล่าวเยาะๆ “องครักษ์จินอู๋ที่มาปฏิบัติหน้าที่ตามพระเสาวนีย์ของไทเฮา? ไฉนพวกเจ้าไม่บอกเสียล่ะว่าเป็นองครักษ์จินหลินที่มาปฏิบัติหน้าที่ตามพระบัญชาของโอรสสวรรค์ ทุกคนมัวยืนทื่ออยู่ด้วยเหตุใด อย่าไปฟังพวกเขาพูดจาเหลวไหล!”
เพลานี้เองเสียงฝีเท้าม้าดังขึ้นระลอกหนึ่ง เสียงนั้นดังถี่กระชั้นขึ้นทุกที
สีหน้าของนายตำบลแปรเปลี่ยนไปยกใหญ่ เขาตะโกนพูด “ชาววอโค่วมาแล้ว! ทุกคนจับสตรีสามคนนั้นไว้เร็วเข้า”
เสียงฝีเท้าม้าเป็นดั่งยันต์สั่งตาย พวกชาวบ้านกรูกันเข้าใส่พวกเฉียวเจาโดยไม่ลังเลใจอีก
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน กันยายน 65)