บทที่ 751
เหล่าบัณฑิตหลวงในสำนักราชบัณฑิตที่ได้รับของพระราชทานเดือนสิบสองโห่ร้องด้วยความยินดีดังลั่น
บัณฑิตหลวงซึ่งได้รับเบี้ยหวัดเดือนละแปดตั้นเหล่านี้ตั้งตารอคอยที่สุดคือของพระราชทานปีละหนึ่งครั้งนี่เอง อย่าลืมว่าเมื่อหลายปีก่อนสมัยท้องพระคลังยังนับว่าบริบูรณ์ ของพระราชทานที่แจกจ่ายให้ตอนใกล้สิ้นปีมากพอๆ กับเบี้ยหวัดทั้งปีของพวกเขาเลยทีเดียว
แน่นอนว่าช่วงไม่กี่ปีมานี้ไม่อาจเทียบแต่ก่อนได้แล้ว จนกระทั่งปีก่อนถึงกับงดแจกจ่ายไปเลยด้วยซ้ำ แล้วก็เพราะเหตุนี้เองความยินดีปรีดาที่ได้รับของพระราชทานสองส่วนในตอนนี้จึงมิอาจพรรณนาเป็นถ้อยวาจาได้
หากที่น่ายินดียิ่งขึ้นไปอีกคือของพระราชทานถูกแจกจ่ายให้ในวันสุดท้ายก่อนที่ว่าการทุกแห่งจะปิดทำการ หรือพูดอีกนัยหนึ่งว่าวันรุ่งขึ้นขุนนางเหล่านี้ล้วนได้หยุดพักนานหลายวัน สามารถดื่มสุราสังสรรค์หรือใช้เวลาอยู่กับภรรยาและบุตรได้ตลอดทั้งวัน
“ไปๆ ดื่มสุรากัน”
“ร้านไป่เว่ยดีหรือไม่”
เมื่ออยู่ในหมู่บัณฑิตหลวงด้วยกันก็ไม่จำเป็นต้องวางท่าสำรวมตนต่อหน้าผู้อื่น แต่ละคนกล่าววาจาอย่างหน้าชื่นตาบาน
“อาลักษณ์เฉียว ไปดื่มสุราด้วยกันหรือไม่”
เฉียวโม่ยกมุมปากโค้งพลางกล่าว “ข้ายังไว้ทุกข์อยู่ คงไม่ไปด้วย สหายทุกท่านร่ำสุรากันให้สำราญใจเถอะ”
สหายขุนนางที่เอ่ยชวนเพิ่งนึกขึ้นได้ในเวลานี้ เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้มกระดาก “จริงสิ เช่นนั้นพวกข้าไปล่ะ”
เขามองดูเหล่าสหายขุนนางเดินผละไปอย่างร่าเริงแจ่มใสแล้วแย้มยิ้มย่างเท้าออกจากสำนักราชบัณฑิต
ถนนศิลาเขียวด้านนอกผ่านการปัดกวาดอย่างสะอาดสะอ้าน มีหิมะถมทับกันอยู่สองข้างทางเป็นกองสูงถึงหลายฉื่อ
พอเฉียวโม่เดินผ่านนกกระจอกที่หาอาหารอยู่บนพื้นหิมะตัวหนึ่งก็ตื่นตกใจกางปีกบินหนีไปทันที เศษหิมะที่ติดขามันร่วงหล่นลงบนเรือนผมเขา
ชายหนุ่มยกมือปัดออกเบาๆ ก่อนสาวเท้าก้าวยาวไปทางรถม้าตรงหัวมุมถนนก่อนเอ่ยสั่งสารถีว่า “กลับจวนกวนจวินโหว”
รถม้าเริ่มออกแล่นดังครืดคราด เขาเลิกม่านขึ้นมองออกไปด้านนอก
หิมะประจำฤดูหนาวตกลงมาแล้ว ยามรถม้าวิ่งออกจากถนนซึ่งเป็นที่ตั้งของที่ว่าการมากมายจะเห็นคนแต่งกายมอซอตามถนนหนทางมากขึ้น พวกเขาเหล่านั้นมีสีหน้าชืดชา เสื้อผ้าขาดกะรุ่งกะริ่ง เห็นแผลโดนความเย็นกัดเล็กๆ ใหญ่ๆ บนผิวกายที่โผล่พ้นอาภรณ์ออกมา ส่วนใหญ่เป็นชาวบ้านที่อพยพหนีภัยพายุหิมะมาที่เมืองหลวง
นัยน์ตาของเฉียวโม่หม่นลง
ฮ่องเต้ฝักใฝ่แต่การบำเพ็ญตบะ ปล่อยให้หลันซานกับบุตรชายกุมอำนาจบริหารราชการนานร่วมยี่สิบปีจนภายในราชสำนักฟอนเฟะ อาณาประชาราษฎร์เดือดร้อนทุกข์เข็ญ หากสองคนนี้ไม่ถูกกำจัดย่อมยากนักที่จะนำความสุขสงบคืนสู่แผ่นดินต้าเหลียง
ตอนกลับถึงจวนบ่าวรับใช้เข้ามารายงาน “คุณชาย ฮูหยินเชิญท่านไปพบขอรับ”
เขาพยักหน้าแล้วไปที่เรือนของเฉียวเจา
“พี่ใหญ่กลับจากที่ว่าการแล้วหรือเจ้าคะ” นางออกมาต้อนรับเขาทันที
“ท่านโหวเล่า”
“หารืองานอยู่ในห้องหนังสือเจ้าค่ะ”
“น้องเจามีธุระอันใดหรือ” เขารู้จักน้องสาวของตนเองดี ย่อมแจ่มแจ้งเป็นธรรมดาว่านางส่งคนมาเชิญเขาทันทีที่กลับถึงจวน แสดงว่าต้องมีธุระอย่างแน่นอน
เฉียวเจามองพี่ชายก่อนคลี่ยิ้มละไมกล่าวว่า “ถิงเฉวียนได้รับของพระราชทานเดือนสิบสองแล้วเจ้าค่ะ”
เฉียวโม่หัวเราะ “รู้อยู่แล้วเชียวว่าปิดบังเจ้าไม่ได้”
“พี่ใหญ่ปฏิบัติงานอยู่ใต้จมูกของหลันซาน ไม่กลัวพวกเขาจับพิรุธได้หรือเจ้าคะ”
“ไม่กลัว ข้าอยู่ในสภาขุนนางมาหลายเดือน อ่านนิสัยของขุนนางคนสำคัญๆ พวกนั้นได้ปรุโปร่งแล้ว หลันซงเฉวียนผู้นี้ดื้อรั้นถือใจตนเป็นใหญ่ คงยากมากที่เขาจะยอมเชื่อในชั่วครู่ชั่วยามว่ามีคนสามารถลอกเลียนลายมือของเขาถึงขั้นแยกของจริงของปลอมไม่ออก ถึงอย่างไรก็ดีต่อให้เขาเริ่มแคลงใจจนแอบสืบลับๆ ก็ไม่มีวันสาวมาถึงตัวข้าได้”
“เพราะอะไรเจ้าคะ” เฉียวเจารู้ว่าพี่ชายเป็นคนสุขุมหนักแน่น ต่อให้อยากแล่เนื้อเถือหนังหลันซานกับบุตรชายใจจะขาดก็จะไม่ใจเร็วด่วนได้ ทว่านางยังคงถามด้วยความสนใจใคร่รู้
“พวกข้าแบ่งงานกันทำ คนที่รับผิดชอบตรวจทานส่วนของกรมโยธามิใช่ข้า แต่เป็นคนของหลันซาน”
เฉียวเจาเปล่งเสียงหัวร่อ “ถ้าอย่างนั้นก็ปล่อยให้พวกเขาเป็นสุนัขกัดกันเองดีแล้ว”
เฉียวโม่ยื่นมือไปจะยีผมนาง แต่นึกขึ้นได้ว่าน้องสาวไม่ใช่แม่นางน้อยแล้ว เขาจึงลดมือลงโดยไม่ให้เป็นที่สังเกต “เรื่องในราชสำนักยกให้เป็นหน้าที่ของพี่ใหญ่เถอะ เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง”
“อื้อ มีพี่ใหญ่อยู่ในราชสำนักคอยจับตาดูความเคลื่อนไหวของพวกหลันซานได้ทุกเวลาเช่นนี้ก็สบายขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะ”
มีกับไม่มีหูตาอยู่ในราชสำนักนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง นี่คงเป็นเหตุผลที่ครอบครัวขุนนางผู้สูงศักดิ์ทั้งหลายล้วนทุ่มเทกายใจอบรมบ่มเพาะบุตรหลานในตระกูลอย่างสุดความสามารถ หาไม่แล้วหากมีคนรุ่นหนึ่งเป็นสามัญชน เช่นนั้นก็จะค่อยๆ ตกต่ำลงกลายเป็นคนนอกวง