ขณะที่พวกขุนนางรับของพระราชทานเดือนสิบสองมาแล้วพากันไปดื่มสุราสรวลเสเฮฮากันในร้านสุราน้อยใหญ่อย่างครึกครื้นรื่นเริงใจ ด้านหลันซงเฉวียนกำลังเดือดดาลจนควันออกหู
“น่าโมโหนักๆ เอาเงินของข้าไปแล้วยังจะหัวเราะเยาะข้าอีก เจ้าพวกลูกเต่าบัดซบ!”
หลังขุนนางทั้งหลายคลายจากความยินดีที่ได้รับของพระราชทานเดือนสิบสอง ต่างก็เริ่มอยากรู้อยากเห็นถึงที่มาของมัน ครั้นสอบถามได้ความแล้วก็พากันชอบอกชอบใจยกใหญ่ ที่แท้เป็นเงินที่หลันซงเฉวียนบุตรชายของท่านสมุหราชเลขาธิการจ่ายเพื่อให้รอดพ้นจากการเจ็บตัวไม่ต้องถูกโบยบั้นท้ายนั่นเอง
“เอาล่ะ เจ้าก็คลายโทสะลงได้แล้ว จะไปคิดเล็กคิดน้อยอันใดกับยาจกได้เบี้ยหวัดเดือนละไม่กี่ตั้นพวกนั้น” หลันซานเอ่ยปรามเสียงเรียบ
“ผู้ไร้ความสามารถโดดเด่นถึงไม่เป็นที่อิจฉาริษยา ปล่อยให้พวกเขาพูดไปเถอะ” หลันซานเขียนคำโคลงคู่ด้วยอารมณ์สงบเยือกเย็น เขากล่าวยิ้มๆ “เจ้าว่าติดคำโคลงคู่แผ่นนี้ที่หน้าประตูใหญ่ตอนวันขึ้นปีใหม่เป็นอย่างไร”
หลันซงเฉวียนมองผ่านๆ แวบเดียวแล้วพูดอย่างขอไปที “ดียิ่ง ท่านพ่อ ข้าขอตัวขอรับ”
“ไปสิ” หลันซานวางพู่กันลง เพ่งมองคำโคลงคู่ที่เพิ่งเขียนเสร็จพลางถอนใจเฮือก
เขาชราภาพแล้ว บุตรชายที่เคยอยู่ในโอวาทเขาเสมอก็เริ่มควบคุมไม่อยู่ขึ้นทุกทีๆ ยังดีที่แม้นบุตรชายเขาเจ้าอารมณ์ไปบ้างแต่ก็มีความคิดเป็นของตนเอง หวังเพียงว่าจะรอจนถึงมู่อ๋องได้สืบทอดราชบัลลังก์อย่างราบรื่นจึงจะดี
วันส่งท้ายปีเก่ามาถึงอย่างว่องไว เสียงจุดประทัดดังเป็นระยะมาจากด้านนอกคละเคล้าเสียงร้องตะโกนอย่างตื่นเต้นของเด็กน้อย
จวนกวนจวินโหวมีคนไม่มากและไม่ถือธรรมเนียมจุกจิกหยุมหยิม ถึงวันที่สามสิบเอ็ดเดือนสิบสองก็เริ่มติดคำโคลงคู่อวยพรวันตรุษแต่เช้าตรู่
เซ่าหมิงยวนเอ่ยชวนเฉียวเจา “ไปกัน พวกเราเอาไปติดที่หน้าประตูใหญ่กันเองเถอะ”
“พี่เขย ข้าไปด้วยเจ้าค่ะ” เฉียวหว่านได้ยินแล้วตื่นเต้นคึกคักยิ่ง นางเดินตามเซ่าหมิงยวนแจ
“ได้ ไปด้วยกัน”
เฉียวหว่านหันหน้าไปเรียกเฉียวโม่ “พี่ใหญ่ ไปด้วยกันสิเจ้าคะ”
ทั้งสี่คนมาถึงหน้าประตูใหญ่พร้อมกัน เซ่าหมิงยวนขอให้เฉียวโม่ติดคำโคลงวรรคหน้า ส่วนเฉียวเจาติดคำโคลงวรรคหลัง ขณะที่เขาเขียนอักษรคำว่า ‘ฝู’ ตัวใหญ่ด้วยสีหมึกผงทองแล้วติดกลับหัว*
เฉียวหว่านตบมือพลางกล่าว “โชคดีมาเยือนแล้ว”
เฉียวโม่มองดูอักษรสีทองอันเป็นมงคลพลางกล่าวเสียงพึมพำ “ใช่ โชคดีมาเยือนแล้ว”
“แต่ว่าพวกท่านติดไปหมดแล้ว ข้าจะทำอะไรเล่าเจ้าคะ” เฉียวหว่านคลายจากความตื่นเต้นแล้วถามขึ้นอย่างร้อนใจ
เซ่าหมิงยวนรับประทัดมาจากมือองครักษ์ หยักยิ้มแล้วบอกกับนาง “หว่านวานเป็นคนจุดประทัดดีหรือไม่”
นางเป็นเด็กใจกล้าจึงพยักหน้าทันควัน “ได้เจ้าค่ะ”
ไม่นานนักเสียงประทัดปังๆ ดังรัวเป็นชุด เฉียวหว่านยกมือปิดหูวิ่งไปหลบอยู่ไกลๆ นางหัวเราะไปพลางกระโดดโลดเต้นไปพลาง
เฉียวเจากับเฉียวโม่สบตากันแล้วสองพี่น้องก็พากันคลี่ยิ้ม
ย่ำเย็นทั้งสี่คนนั่งห่อเกี๊ยวด้วยกัน เฉียวหว่านหยิบดอกไม้ผ้ากำมะหยี่สีแดงสองดอกซึ่งได้จากที่ใดก็สุดรู้ออกมา
“พี่หลี ข้าเสียบดอกไม้ประดับผมให้ท่านนะเจ้าคะ เมื่อก่อนท่านแม่จะมอบดอกไม้ผ้ากำมะหยี่สีแดงให้แก่สตรีในเรือนตอนวันตรุษทุกปี บอกว่าเสียบดอกไม้สีแดงห่อเกี๊ยวก็จะไม่ถูกปีศาจเหนียน** คาบตัวไปเจ้าค่ะ”
ท่านแม่ที่เฉียวหว่านกล่าวถึงหมายถึงท่านแม่ใหญ่โค่วซื่อ
“ได้สิ ขอบใจหว่านวานมาก” เฉียวเจาก้มศีรษะลงให้เด็กสาวเสียบดอกไม้ผ้ากำมะหยี่สีแดงดอกนั้นไว้บนเรือนผมสีดำสนิท
“พี่เขย พี่ใหญ่ พวกท่านดูสิ พี่หลีเสียบดอกไม้สีแดงแล้วงามมากใช่หรือไม่เจ้าคะ”
ชายหนุ่มสองคนพยักหน้าพร้อมกัน
หญิงสาวอ่อนเยาว์มีผิวพรรณขาวผ่อง เส้นผมดกดำประดับด้วยดอกไม้สีแดงเล็กกะทัดรัดฝีมือประณีตดอกหนึ่งแล้วงดงามชวนมองอย่างยิ่งยวดโดยแท้
“พี่ใหญ่ แล้วข้าเสียบดอกไม้บ้างได้หรือไม่เจ้าคะ” เฉียวหว่านเอ่ยถามอย่างน่าสงสารระคนน่าเอ็นดู
“ได้สิ มา พี่ใหญ่เสียบผมให้เจ้าเอง”
เฉียวเจาอมยิ้มมองพี่ชายเสียบดอกไม้ลงบนผมของเฉียวหว่านอยู่ แต่จู่ๆ ก็มีคนดึงแขนเสื้อของนาง