“พระวรกายขององค์หญิงใหญ่…” แพทย์หลวงหยางมองชายหนุ่มด้วยสายตาแกมเห็นใจ เขาหลุบเปลือกตาลงกล่าวว่า “พระวรกายขององค์หญิงใหญ่เคยได้รับความกระทบกระเทือนในอดีต ทรงตั้งพระครรภ์นี้มีอันตรายมาก จะขับเด็กออกสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ มิเช่นนั้นอาจถึงแก่พระชนม์ชีพได้”
ตัวของฉือชั่นโงนเงนเล็กน้อย รอยยิ้มเยาะผุดขึ้นตรงมุมปาก “นี่แสดงว่าท่านแม่ต้องคลอดบุตรผู้นี้ออกมาสินะ”
แพทย์หลวงหยางสุดปัญญาจะตอบคำถามนี้ได้ เขาก้มหน้าประสานมือพลางบอก “ข้าต้องกลับวังไปทูลรายงานไทเฮาขอรับ”
จะเสี่ยงขับเด็กในครรภ์ออกโดยไม่คำนึงถึงชีวิตขององค์หญิงใหญ่หรือจะให้คลอดบุตรผู้นี้ออกมา แน่นอนว่ามิใช่เรื่องที่แพทย์หลวงต่ำต้อยผู้หนึ่งเช่นเขาจะสอดปากพูดได้
“เชิญแพทย์หลวงหยางไปได้” ฉือชั่นเอ่ยเสียงเย็นชา
“คุณชายฉือ เท้าของท่าน…”
“ข้าบอกว่าเชิญแพทย์หลวงหยางไปได้ หรือว่าท่านหักใจไปไม่ได้แล้วใช่หรือไม่” เขาก้มตัวลงดึงมีดสั้นที่เสียบเข้าไปในรองเท้าออกมากำไว้ในมือแน่นๆ จนเห็นเส้นเลือดสีเขียวจางปูดโปนขึ้นตรงหลังฝ่ามือ
แพทย์หลวงหยางรู้สึกชาวาบที่หนังศีรษะ เขารีบเร่งเดินจากไป
ในลานเรือนว่างเปล่าโหรงเหรงทันควัน ฉือชั่นย่อกายลงช้าๆ
“คุณชาย…” เถาเซิงขยับเข้ามาอย่างระมัดระวัง
ฉือชั่นมองเขาแวบหนึ่งอย่างเฉยชาแล้วดึงสายตาคืน
เถาเซิงแทบร่ำไห้ออกมา จบกันๆ คุณชายไม่แม้แต่จะด่าคน จะต้องเสียใจถึงขีดสุดแล้วเป็นแน่
“คุณชาย ท่านไม่เป็นไรกระมัง”
ฉือชั่นถอดรองเท้าออก โลหิตสีแดงเข้มซึมเปียกถุงเท้าผ้าไหมสีขาวสะอาด
“คุณชาย เลือดออกตั้งเยอะ ต้องรีบทำแผลนะขอรับ นี่…นี่จะเจ็บถึงเพียงใดกัน”
ฉือชั่นมองเด็กรับใช้แล้วหยักยิ้ม “ไม่เจ็บ”
ในวังองค์หญิงใหญ่ฉางหรงดูไปแล้วไม่แตกต่างอันใดจากยามปกติ แพรสีที่ติดประดับตามต้นไม้ยังคงให้บรรยากาศเฉลิมฉลองวันตรุษ แต่สองวันนี้บ่าวไพร่ที่หูไวตาไวกลับระแวดระวังตัวกันมาก กระทั่งยามเดินก็ไม่กล้าทำเสียงดัง
องค์หญิงใหญ่ฉางหรงนิ่งอยู่ในอิริยาบถเดิมเป็นเวลานานถึงหนึ่งก้านธูปแล้ว
นางข้าหลวงตงอวี๋ยืนอยู่ข้างกาย ไม่กล้าอ้าปากพูดจาส่งเดช แต่ในใจกลับว้าวุ่นปั่นป่วนดุจคลื่นคลั่ง
องค์หญิงใหญ่ตั้งครรภ์ มิหนำซ้ำจะขับเด็กออกตามใจชอบไม่ได้ ทีนี้จะทำฉันใดดี หรือว่าจะคลอดบุตรผู้นี้ออกมาจริงๆ
“ตงอวี๋”
นางข้าหลวงสะดุ้งโหยง รีบกล่าวขึ้น “เพคะ”
องค์หญิงใหญ่ฉางหรงลูบท้อง “เจ้าว่าบุตรผู้นี้จะเป็นชายหรือหญิง”
“หม่อมฉัน…เดาไม่ออก…”
“องค์หญิง คุณชายมาเพคะ” สาวใช้นางหนึ่งเข้ามารายงาน
หางคิ้วขององค์หญิงใหญ่ฉางหรงกระตุกเล็กน้อย
ฉือชั่นเดินผ่านม่านกั้นผ้าโปร่งบางหลายชั้นมาถึงเบื้องหน้ามารดา
องค์หญิงใหญ่ฉางหรงมองตงอวี๋ปราดหนึ่ง นางก็ยอบกายคำนับแล้วถอยออกไป
ด้านนอกดวงตะวันของเหมันต์ฤดูแจ่มกระจ่าง เรือนตึกเสาแดงหลังคาเขียวถูกปกคลุมด้วยหิมะสีขาวโพลน ทว่าด้านในห้องค่อนข้างมืดสลัวเพราะม่านหน้าต่างผ้าโปร่งรูดปิดไว้
สองแม่ลูกประสานสายตากัน
ผ่านไปเป็นนานฉือชั่นจึงเอ่ยปากขึ้น “ข้าควรแสดงความยินดีกับท่านแม่ขอรับ”
ดวงตาขององค์หญิงใหญ่ฉางหรงนิ่งขึงไปทันใด “เจ้ารู้แล้ว?”
“ท่านแม่ตั้งใจจะทำอย่างไรขอรับ”
“ทำอย่างไร” นางเลิกคิ้วสูงมองใบหน้าที่ประพิมพ์ประพายกับสามีที่ตายไปนานแล้วมากขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นเหยียดยิ้มเย็นๆ พลางกล่าว “เจ้าเพิ่งแสดงความยินดีกับข้ามิใช่หรือ ย่อมจะคลอดออกมาเป็นธรรมดา”
ในเมื่อฉือชั่นรู้ว่านางตั้งครรภ์ เช่นนั้นก็น่าจะรู้แล้วว่าหากนางขับเด็กออกจะมีอันตราย นี่คือเขาอยากให้นางตายดีกว่าเห็นเด็กผู้นี้คลอดออกมาแล้วสร้างความอับอายให้เขาใช่หรือไม่
องค์หญิงใหญ่ฉางหรงคิดถึงตรงนี้ รอยยิ้มของนางเย็นชามากขึ้น สายตาที่มองฉือชั่นแฝงรอยท้าทายไว้หลายส่วน
ฉือชั่นเป็นคนเฉียบไวปานใด เขาเพียงรู้สึกคล้ายถูกค้อนขนาดใหญ่ทุบเต็มแรงทีหนึ่ง พาให้โลหิตอุ่นร้อนพุ่งขึ้นมาถึงลำคอ
เขากัดปลายลิ้น หยักยิ้มน้อยๆ กับมารดา “ท่านแม่ตัดสินใจแล้วก็ดี ข้าขอตัวก่อนขอรับ”
พอเห็นเขาหันแผ่นหลังให้จะเดินออกไป นางพูดเสียงดัง “หยุดนะ”
ฉือชั่นหยุดฝีเท้าแล้วหมุนตัวไป “ท่านแม่ยังมีสิ่งใดจะสั่งกำชับขอรับ”
อันที่จริงองค์หญิงใหญ่ฉางหรงก็บอกเหตุผลที่เรียกบุตรชายไว้ไม่ออก นางเพียงมองเขาอย่างเฉยเมย
“ในเมื่อท่านแม่ไม่มีเรื่องใดแล้ว ข้าออกไปนะขอรับ”
ชายหนุ่มออกจากเรือนพำนักขององค์หญิงใหญ่ฉางหรงกลับไปที่ห้องของตน จากนั้นเขาอ้าปากกระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง