ซูกุยเยี่ยนเม้มปากพลางลุกขึ้น เอามือประคองเอวเดินกะโผลกกะเผลกกลับห้องพักบนเรือ
ซูหงเหมิงยังไม่คลายโทสะ เอ่ยอย่างฉุนเฉียว “เจ้าชอบปกป้องเขาเช่นนี้ เขาถึงไม่ได้ความมากขึ้นทุกที”
ติงซื่อถนอมบำรุงผิวพรรณได้ดี นางอายุน้อยกว่าซูหงเหมิงสิบปี ถึงจะอยู่ในวัยสามสิบกว่าแล้ว แต่ยังคงงดงามเฉิดฉายไม่สร่าง นางอมยิ้มพลางนวดไหล่ให้สามีพร้อมเอ่ยขึ้น
“พี่หูซื่อด่วนจากไปทิ้งบุตรชายบุตรสาวคู่นี้ไว้ ข้าอยู่ในฐานะมารดาเลี้ยงจะไม่รักใคร่ปกป้องพวกเขาได้อย่างไร ตอนนี้ดวงตาของลั่วอวิ๋นยัง…ข้ารู้สึกละอายใจต่อพี่หูซื่อจนนอนหลับไม่สนิททุกวัน…”
ซูหงเหมิงรักภรรยาของตนเองมากมาโดยตลอด ครั้นเห็นติงซื่อตำหนิตนเองเพราะบุตรสาวคนโตตาบอดอีกแล้ว เขาเอ่ยอย่างทอดถอนใจ
“เรื่องของนางเป็นอุบัติเหตุ ไม่มีใครกล่าวโทษเจ้า”
ตอนเกิดเหตุซูลั่วอวิ๋นบุตรสาวคนโตได้รับความกระทบกระเทือนที่ศีรษะ พอฟื้นขึ้นมาก็มองไม่เห็นแล้ว เรื่องนี้จะโยนความผิดให้ติงซื่อได้อย่างไร กระนั้นพอนางได้ยินวาจาของสามี หัวคิ้วที่ย่นเข้าหากันก็มิได้คลายออก เพียงทอดถอนใจอีกคราหนึ่ง
“ลั่วอวิ๋นเป็นคนเจ้าทิฐิเกินไป มิฉะนั้นไฉนเลยต้องส่งนางไปอยู่บ้านเดิมด้วยเล่า”
ซูหงเหมิงมองดูภรรยาคนงามที่อ่อนวัยกว่าตนสิบปีอย่างรักใคร่เอ็นดู เขารู้จักนิสัยของนางดีที่สุด ติงเพ่ยเป็นคนใจดีมีเมตตาและอ่อนหวานน่ารัก เมื่อแรกที่เข้ามาอยู่ในจวนสกุลซูนางลำบากไม่น้อย ต้องดูแลทั้งบุตรของตนเองและบุตรชายบุตรสาวของภรรยาที่จากไปของเขา
ครั้งนี้เขามีตำแหน่งเป็นขุนนางในราชสำนัก รอวันหน้าเขาได้เลื่อนขั้น นางจะได้เชิดหน้าชูตาอย่างไร้ที่สิ้นสุดไปด้วย นับได้ว่าความคับข้องใจที่ติงเพ่ยได้รับตอนฝากชีวิตไว้กับเขาในครั้งนั้นไม่สูญเปล่า
ตลอดการเดินทางสงบเรียบร้อยดี เรือโดยสารแล่นมาถึงอิ้นโจวบ้านเดิมของพวกเขาแล้ว
เรือนหลังเก่าของสกุลซูมีการซ่อมแซมตอนประมุขของตระกูลรุ่นก่อนฉลองครบรอบวันคล้ายวันเกิดอายุแปดสิบปี ถึงตอนนี้นับดูแล้วก็ผ่านมายี่สิบกว่าปี ตามกำแพงมีไม้เลื้อยเกาะและคราบตะใคร่น้ำจับอยู่เต็มไปหมด มองจากที่ไกลๆ ดูร่มครึ้มเขียวชอุ่มไปทั้งบริเวณ
เหล่าเฟิงผู้ดูแลเรือนพาคนมารอรับที่ท่าเรือแต่เช้า เวลานี้เขานำทางสารถีไปเบื้องหน้าเสาผูกม้าแล้วเตรียมขนของลงจากรถม้า
ซูหงเหมิงลงจากรถแล้วเหลียวมองคราหนึ่ง ก่อนจะขมวดคิ้วเอ่ยถามขึ้น “คุณหนูใหญ่เล่า อารมณ์ไม่ดีไม่อยากพบหน้าคนอีกแล้วรึ”
หลังจากดวงตาทั้งคู่ของซูลั่วอวิ๋นมองไม่เห็น นิสัยของนางก็เปลี่ยนไป กลายเป็นคนเก็บตัวไม่สุงสิงกับใคร นอกจากเริ่มแรกที่มักขว้างปาข้าวของ ตอนหลังยังทะเลาะเบาะแว้งกับคนในครอบครัวด้วยเรื่องแต่งงานอีก
ต่อให้ซูหงเหมิงอาศัยบารมีของบิดาก็ดุด่าสั่งสอนบุตรสาวที่เพิ่งตาบอดได้ไม่ถนัด ดังนั้นเขาจึงไล่นางกลับไปบ้านเดิมให้ฝึกฝนขัดเกลาจิตใจตนเอง
ไม่คิดว่าผ่านไปนานเพียงนี้นางยังคงไม่ปรับปรุงตัวให้ดีขึ้น รู้ทั้งรู้ว่าบิดากลับมาก็ไม่ออกมาต้อนรับ!
ก่อนที่นายท่านใหญ่สกุลซูจะบันดาลโทสะ เหล่าเฟิงก็พูดขึ้นอย่างถูกจังหวะ “หลังเข้าสู่ฤดูหนาวเป็นต้นมาทางนี้ฝนตกมากขึ้นขอรับ คุณหนูใหญ่ได้ยินว่านายท่านนั่งเรือมาก็กังวลใจเรื่องระดับน้ำในแม่น้ำสูงขึ้นอยู่ตลอด จึงขึ้นไปจุดธูปขอพรให้คนในครอบครัวที่อารามบนเขา เดิมทีเมื่อวานควรจะกลับมาแล้ว แต่เผอิญมีฝนตกลงมาอีก ถนนบนเขาทั้งเปียกและลื่นจนเดินไม่ได้ถึงได้ล่าช้า เมื่อครู่บ่าวส่งคนไปสอบถามแล้วได้ความว่ามีคนตรงเชิงเขาหาบขี้เถ้าไปโรยพื้นถนน อีกสักครู่น่าจะกลับมาถึงขอรับ”
ซูหงเหมิงได้ยินคำอธิบายของผู้ดูแลเรือนแล้วสีหน้าที่ขุ่นมัวอยู่ค่อยดีขึ้นเล็กน้อย
ติงซื่อก็พูดกลั้วหัวเราะเบาๆ อยู่ด้านข้าง “ดูเหมือนอวิ๋นเอ๋อร์จะรู้ความแล้ว…แค่ว่าทำอะไรยังไม่คิดหน้าคิดหลังให้ดี คงไม่ทันคิดว่าฝนตกถนนลื่น หากนางได้รับบาดเจ็บอีกจะไม่ทำให้คนอื่นปวดใจหรือ…”