ตี้อีชิวเอ่ยว่า “ชื่อเสียงของตี้ซานเมิ่งตอนนี้ได้รับการยกย่องเป็นเทพในหมู่ราษฎรแล้ว บารมีใกล้จะเหนือกว่านายท่านผู้เฒ่าซี หากเขาเข้าสู่กรมซือเทียน ชื่อเสียงของราชสำนักย่อมเป็นดั่งเรือที่สูงขึ้นตามน้ำ”
หวงหร่างไม่สนใจเรื่องนี้ นางถามว่า “บอกมาว่าราชสำนักจ่ายเบี้ยหวัดเท่าใดดีกว่า!”
ใต้เท้าเจ้ากรมมิได้แจกแจงอย่างชัดเจน เพียงตอบว่า “ฝ่าบาททรงเชิญเป้าอู่เข้ากรมซือเทียน แต่ละเดือนจ่ายให้ห้าหมื่นตำลึง นอกจากนี้ยังพระราชทานบรรดาศักดิ์และที่ดินศักดินา ส่วนเสื้อผ้าอาหารที่พักและค่าเดินทางของเขา กรมซือเทียนล้วนเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมด ชื่อเสียงบารมีของตี้ซานเมิ่งในตอนนี้มีแต่จะมากกว่าเขาแล้ว”
หวงหร่างคิดคำนวณครู่หนึ่งก็ทำหน้าตกใจระคนโมโห “นั่นก็หมายความว่าในแต่ละปีข้าสูญเงินไปอย่างน้อยก็หกสิบหมื่นตำลึง! อีกทั้งยังสูญเงินไปสิบแปดปีแล้ว”
ตี้อีชิวหัวเราะเบาๆ จากนั้นก็นวดคลึงข้อเท้าให้นางซ้ำแล้วซ้ำเล่า
วันนี้นางสวมถุงเท้าผ้าไหมสีขาว ใต้เท้าเจ้ากรมเหมือนถูกภูตผีดลใจ รู้สึกอยากถอดมันออกมาอยู่บ้าง
เขาพยายามบังคับสองมือของตนเองพลางพูดว่า “ยามนี้ตระกูลนักปรับปรุงพันธุ์พืชใหญ่ๆ เดินหน้าและถอยหลังพร้อมกัน หากตี้ซานเมิ่งยอมเข้ากรมซือเทียน สำหรับใต้หล้าและราษฎรย่อมเป็นเรื่องน่ายินดี หากเจ้าเต็มใจ ข้าจะไปเสนอกับทางราชสำนัก”
“เรื่องนี้ยังมีอะไรต้องลังเลอีกเล่า” หวงหร่างไม่ต้องเสียเวลาใคร่ครวญ จากนั้นนางก็พึมพำ “นึกไม่ถึงว่าข้าจะมีวันที่ได้กินเงินเบี้ยหวัดจากราชสำนักด้วย”
ใต้เท้าเจ้ากรมนวดเท้าให้นางอย่างไม่เร็วไม่ช้า เนิ่นนานจึงเอ่ยว่า “แต่ถ้าไม่ซื้อเรือน ไม่ซื้อบ่าวไพร่ เกรงว่าจะดูอัตคัดไปสักหน่อย…”
หวงหร่างโบกมือเล็กของตน พูดอย่างไม่ใส่ใจสักนิด “จะสนใจเรื่องพวกนี้ไปเพื่ออันใดกันเล่า เมื่อก่อนข้าต้องอยู่เพียงลำพัง สถานที่ทั้งกว้างใหญ่และเงียบเหงา พอพวกเราสองคนแต่งงานกัน ข้าก็อยากเบียดอยู่กับท่านในห้องเล็กๆ พวกเราแค่เงยหน้าก็เห็นอีกฝ่าย”
“เมื่อก่อน? ทั้งกว้างใหญ่และเงียบเหงา?” ใต้เท้าเจ้ากรมขมวดคิ้ว ไม่ค่อยเข้าใจคำพูดของนาง
หวงหร่างขยับเข้าไปใกล้เขาแล้วเอ่ยว่า “แขกที่พวกเราสามารถเชิญได้ก็เชิญมาให้หมดดีหรือไม่ เก็บซองแดงให้มากสักหน่อย วันข้างหน้ากรมซือเทียนยังมีเรื่องให้ต้องใช้เงินอีกมาก!”
ครั้นคิดถึงหุ่นกลที่ใต้เท้าเจ้ากรมหลอมสร้างขึ้นเองกับมือในอนาคต หุ่นกลระดับสุดยอดตัวหนึ่งมีมูลค่าเท่าหินวิเศษสี่หมื่นหมื่นก้อน หวงหร่างก็ปวดใจจนอยากจะไปกระโดดน้ำทะเล
ใต้เท้าเจ้ากรมรับคำ ทั้งสองคนอิงแอบอยู่ด้วยกัน ไม่ได้เอ่ยอะไรอยู่เนิ่นนาน
ผ่านไปพักหนึ่งหวงหร่างก็ใช้ไหล่สะกิดตี้อีชิวพลางถามว่า “ท่านคิดอะไรอยู่หรือ”
ใต้เท้าเจ้ากรมตอบ “ข้ากำลังคิดว่าควรแจกเทียบเชิญเท่าไรดี” กล่าวจบเขาก็หันมาถามนาง “เจ้าเล่า”
หวงหร่างตอบ “ข้ากำลังคิดว่าต่อไปตื่นนอนยามเช้าทุกวันได้เห็นท่านเป็นคนแรกจะต้องมีความสุขมากเป็นแน่”
ใต้เท้าเจ้ากรมนิ่งงันไป จากนั้นเขาก็หันหน้ามาช้าๆ หวงหร่างดวงตาเปล่งประกาย เจิดจรัสดุจดารา เขาประคองใบหน้านางขึ้นมาเบาๆ เห็นเพียงผิวพรรณของนางกระจ่างผุดผ่อง สองแก้มไร้มลทิน ริมฝีปากคู่นั้นเป็นสีชมพูดุจดอกท้อ
ตี้อีชิวไม่รู้ว่าตนเองขยับเข้าไปตั้งแต่เมื่อไร ริมฝีปากเขาประกบกับริมฝีปากนางเล็กน้อย ขณะนั้นราวกับมีไฟแล่นพล่านไปทั่วทันใด รู้สึกชาไปทั้งร่าง
เขาปล่อยตัวหวงหร่างแล้วเบือนหน้าไปทางอื่นทันที
ใต้เท้าเจ้ากรมลุกขึ้น สะบัดอาภรณ์เล็กน้อย น้ำเสียงเคร่งขรึมจนฟังดูเหมือนผู้คงแก่เรียน เขากล่าวว่า “ข้าจะไปกรมพิธีการเดี๋ยวนี้ เร่งรัดเรื่องการเจรจาสู่ขอ”
กล่าวจบเขาก็ก้าวยาวๆ ออกจากหอพักศิษย์ รุดไปยังกรมพิธีการอย่างร้อนใจ
หวงหร่างกระโดดลงจากเตียง เดินไปที่หน้าประตู พิงประตูมองดูเขาเดินจากไปด้วยฝีเท้าเร่งร้อน
คนผู้นี้ช่าง…ตรงไปตรงมาจริงๆ
นางขบคิดอยู่นาน ก่อนจะใช้คำพูดนี้บรรยายสามีในอนาคตของตน