ในห้วงสมองคล้ายมีเสียงร่ำร้องอย่างสิ้นหวังของคนนับพันนับหมื่น นางย้อนกลับไปในห้องลับนั่นอีกครั้ง ผู้คนนับไม่ถ้วนที่ถูกลงทัณฑ์เช่นเดียวกับนางยืนอยู่เงียบๆ ทุกคนต่างมองหน้ากันด้วยแววตาว่างเปล่า ใบหน้าแข็งทื่อ
สถานที่แห่งนั้นไม่เห็นแสงอาทิตย์ชั่วกาล มีเพียงประกายแสงจากยันต์ของข่ายอาคมกะพริบเบาๆ เป็นครั้งคราว
นางได้ยินเสียงสวบสาบดังขึ้นคราหนึ่ง เสียงนี้ฟังดูไพเราะเหลือเกินยามอยู่ในห้องลับที่เงียบสงัดแห่งนี้ หวงหร่างตั้งใจฟังอยู่นานสองนานจนกระทั่งหนูตัวหนึ่งลากเอาหูโชกเลือดข้างหนึ่งวิ่งผ่านหน้านางไป
ที่แท้นั่นเป็นเสียงหนูกัดแทะหูสหายร่วมชะตากรรมของนางนั่นเอง
หวงหร่างลืมตา นับเส้นด้ายของม่านผ้าโปร่งอีกครั้ง
ราตรียาวนานไม่สิ้นสุด แสงเทียนนอกม่านค่อยๆ ริบหรี่ หวงหร่างเริ่มลนลาน หากแสงเทียนดับไป ในห้องก็จะเหลือเพียงความมืด เคราะห์ดีที่ก่อนเทียนไขจะเผาไหม้จนหมดสิ้น ท้องฟ้าก็เริ่มปรากฏแสงสว่างแล้ว
คล้ายเมล็ดงาขาวช้อนหนึ่งถูกผสมลงในความมืดมิด ทั้งสว่างและมืดในเวลาเดียวกัน เมื่อเมล็ดงาขาวช้อนนี้ค่อยๆ เข้มข้นขึ้น แสงแรกของวันก็ส่องทะลุม่านเตียงเข้ามา
หวงหร่างโล่งอก ตี้อีชิวข้างกายก็ตื่นแล้ว ยามที่เขาเพิ่งตื่น ปลายนิ้วสัมผัสถูกหวงหร่างที่อยู่ข้างกาย เขาสะดุ้งและลุกขึ้นทันใด ครั้นเห็นคนข้างกายชัดเจนก็เหมือนเพิ่งจดจำนางได้
เขาลุกขึ้นและลงจากเตียง หวงหร่างได้ยินเพียงเสียงดังสวบสาบ เขาน่าจะกำลังผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า ไม่นานนักเขาก็เหน็บชายผ้าห่มให้หวงหร่างอีกครั้งพลางพูดขึ้น
“วันนี้เจ้าอยู่ในห้อง ข้าจะให้คนเร่งตัดเสื้อผ้าให้เจ้า”
นี่เป็นครั้งแรกที่หวงหร่างได้ยินเขาพูด
…แน่นอนว่าร้อยกว่าปีก่อนพวกเขาต้องเคยสนทนากันอยู่แล้ว เพียงแต่กาลเวลาไม่หยุดนิ่ง ล่วงผ่านไปดุจกระแสน้ำไหล คนและเรื่องราวเล็กน้อยเหล่านั้นนางลืมไปนานแล้ว
เสียงของตี้อีชิวใสกังวาน น้ำเสียงกลับฟังเหมือนเป็นคำสั่ง แต่ละถ้อยคำล้วนกดดันผู้อื่น ไม่ยอมให้ผู้ใดกังขา หวงหร่างมิอาจโต้แย้งเขาได้อยู่แล้ว จะให้ทำอย่างไรเล่า ย่อมได้แต่ตามใจเขาเท่านั้น
ตี้อีชิวเปิดประตูและออกไป ข้างนอกมีเสียงใครก็ไม่รู้ลอยเข้ามา ทักทายเขาอย่างเคารพนบนอบ
หวงหร่างไม่ได้ยินเสียงตอบรับของเขา หรือบางทีเขาอาจไม่ได้ตอบ ก็จริง ร้อยกว่าปีก่อนราชสำนักยังไม่มีบารมีและความน่าเชื่อถือใดๆ ในสำนักเซียน แต่ภายในเวลาร้อยกว่าปีกรมซือเทียนได้กลายเป็นหน่วยงานที่ยิ่งใหญ่แห่งหนึ่ง ต่อให้เป็นสำนักเซียนอวี้หูก็จำต้องใส่ใจคู่ต่อสู้ผู้นี้
แล้วตี้อีชิวที่เป็นถึงเจ้ากรมซือเทียนจะเป็นคนที่รับมือง่ายๆ ได้อย่างไร
หวงหร่างจับจ้องเพดานเตียงต่อไป พอตี้อีชิวจากไปโลกเล็กๆ ใบนี้ก็เหมือนจะเงียบงันลง
อันที่จริงนางไม่กลัวการเฝ้ารอคอย สิบปีในห้องลับทำให้เวลาเหมือนดั่งขึ้นสนิม ติดชะงักอยู่ที่เดิมมิอาจเดินต่อไปได้ ทว่าสถานการณ์ในตอนนี้ดีขึ้นมากแล้ว นางได้นอนอยู่บนเตียงนุ่มสบายด้วยเนื้อตัวสะอาดสะอ้าน มีผ้าห่มผืนหนาอบอุ่นคลุมกาย
ในห้องจุดอ่างไฟไว้ ทำให้ลมหนาวที่เล็ดลอดเข้ามาลดความน่ากลัวลง กลายเป็นความอบอุ่นอ่อนโยน
นางรอให้เวลาเดินผ่านไป สามารถสัมผัสแสงอาทิตย์เสี้ยวหนึ่งที่ส่องผ่านม่านเข้ามาได้อย่างไม่คาดคิด!
วันนี้ช่างเป็นวันที่งดงามที่สุดวันหนึ่งจริงๆ หวงหร่างคิดเงียบๆ
กรมซือเทียน
ตี้อีชิวเดินไปเรื่อยๆ จนถึงกองวิหคเพลิง จากนั้นก็เข้าไปในห้องประชุมของเขา
ผู้ช่วยกองวิหคเพลิงจูเซียงรุดมาถึง แม้นางจะเป็นสตรี แต่กลับสวมเสื้อตัวสั้นกับกางเกงผ้าเนื้อหยาบสีแดง แขนเสื้อถลกขึ้นมาถึงข้อศอก ท่วงทีเหมือนบุรุษ นางทำสิ่งใดแคล่วคล่องว่องไว ทั้งยังเฉลียวฉลาดมากด้วยไหวพริบ เป็นผู้ช่วยคนสำคัญของตี้อีชิว
นางยืนรอคำสั่งอยู่ด้านขวามือ มิได้ส่งเสียงรบกวนตี้อีชิวอย่างรู้ใจผู้เป็นเจ้านาย
ตี้อีชิวกางกระดาษและใช้แท่งถ่านวาดภาพ
เขาเปี่ยมด้วยความคิดแปลกใหม่ วัตถุเวทและของวิเศษหลายชิ้นในกรมซือเทียนล้วนมาจากฝีมือเขา ทุกครั้งยามเขาหลอมวัตถุเวทชิ้นใหม่ จูเซียงจะวาดแบบร่างไว้หลายๆ แผ่นและส่งต่อให้ศิษย์ในกองศึกษาดู
หากของสิ่งนี้เป็นที่ต้องการจึงจะหลอมออกมาจำนวนมาก
วันนี้ตี้อีชิวก็วาดภาพอย่างละเอียดถี่ถ้วนเช่นเดิม
จูเซียงรอพักหนึ่ง ในที่สุดตี้อีชิวก็ยื่นแบบร่างให้นาง “เร่งทำทันทีและส่งมาให้ข้า”
วันนี้รีบเป็นพิเศษเชียว จูเซียงรับแบบร่างไป มองแค่คราเดียวก็ตกตะลึง แบบร่างมีหลายแผ่น ในนั้นล้วนเป็น…เครื่องแต่งกายของสตรี ตั้งแต่แถบผ้ารัดอกไปจนถึงกระโปรงชั้นใน จากนั้นก็เป็นกระโปรง เสื้อนอก ชุดคลุมกันลมตัวหนา สายรัดเอว รองเท้า…
วัสดุ สีสัน ทักษะการปักลายล้วนเขียนกำกับไว้อย่างชัดเจน รายละเอียดของขนาด ความกว้างของไหล่ รอบอก รอบเอว รอบสะโพกไม่ตกหล่นแม้แต่จุดเดียว
นี่มัน…