ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ห้วงฝันบันดาลรัก บทที่ 1-3
ไม่มีเครื่องประดับศีรษะ ทว่ามือของอาจารย์ชิวนั้นล้ำเลิศที่สุดในกรมซือเทียน เขาหาสายรัดเอวเส้นหนึ่งที่ทอจากเส้นไหมใยน้ำแข็งมา ผูกมันเข้ากับเส้นผมของหวงหร่าง แถบผ้าไหมมีลวดลายอยู่ พอจะฟื้นฟูสง่าราศีในวันวานให้นางได้หลายส่วน
เพียงแต่ใบหน้านางซีดเซียวเกินไป ริมฝีปากก็ขาดสีสัน
นางมองดูสตรีในคันฉ่อง สตรีในคันฉ่องก็มองตอบนาง สองฝ่ายต่างมีใบหน้าแข็งทื่อ แววตาว่างเปล่า แค่เพียงร้อยกว่าปีความหรูหราเลิศล้ำของนางก็โรยราจางหายไปโดยมิทันได้ตั้งตัวจริงๆ
รอจนแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย ตี้อีชิวก็ไล่สาวใช้ที่เป็นเหมือนหุ่นออกไป จากนั้นก็สวมชุดคลุมกันลมตัวหนาและผูกสายให้หวงหร่าง ก่อนจะอุ้มนางออกจากประตู
หวงหร่างพลันมองเห็นลานเรือนในยามเย็น ความคิดในใจทั้งหมดถูกโยนออกไปจนหมดสิ้น
ที่นี่คือกองเสวียนอู่ ผู้คนที่สัญจรไปมาล้วนเป็นศิษย์ที่มาศึกษาเล่าเรียนในกรมซือเทียน ตี้อีชิวอุ้มหวงหร่างที่แต่งตัวเต็มยศเดินตัดลานเรือน ย่อมดึงดูดสายตาผู้คนได้ไม่น้อย
ศิษย์ทั้งหลายแยกกันยืนริมทาง หอบตำราคัมภีร์นานาชนิดพลางค้อมศีรษะคารวะ พยายามรักษาท่าทีสงบนิ่งไว้
หวงหร่างอิงซบอ้อมอกของตี้อีชิว แถบผ้าไหมบนศีรษะนางพลิ้วไหวน้อยๆ ตามจังหวะก้าวเดินของเขา
ตี้อีชิวอุ้มหวงหร่างมาจนถึงแปลงบุปผาแห่งหนึ่ง ในแปลงมีศิลาขนาดใหญ่ก้อนหนึ่ง บนนั้นเขียนคำสอนส่งเสริมการศึกษาด้วยลายมือฉวัดเฉวียน
หวงหร่างได้กลิ่นหอมอันคุ้นเคยมาแต่ไกล
เป็นกล้วยไม้ แค่ได้กลิ่นนางก็รู้แล้วว่าที่นี่ปลูกไว้กี่ต้น
ตี้อีชิววางนางลงบนพื้นและเอ่ยว่า “ปีที่แล้วข้าซื้อเมล็ดพันธุ์กล้วยไม้มาห่อหนึ่ง ว่ากันว่าเป็นเมล็ดพันธุ์ที่เจ้าปรับปรุงขึ้นเอง เพียงแค่หว่านเมล็ดไว้ตรงนี้โดยมิได้ใส่ใจ แต่ดอกกลับค่อยๆ บานสะพรั่ง ทั้งยังมีระยะการบานถึงหนึ่งปี กลิ่นหอมเข้มข้น น้ำค้างบนบุปผาล้วนถูกเก็บมาเป็นน้ำมันหอม”
อ้อ สิ่งนั้นหรือ บานได้ไม่ถึงปี หิมะแรกของปีโปรยลงมาเมื่อใด บุปผาก็จะโรยราเมื่อนั้น
หวงหร่างคิดในใจเงียบๆ แปลกจริงๆ ความทรงจำของนางสับสนมาหลายปีแล้ว แต่กลับยังจดจำระยะการบานของกล้วยไม้นี้ได้
นางเอนพิงตี้อีชิว สายตามองเห็นเพียงลายปักละเอียดบนชุดขุนนางของเขา มองไม่เห็นบุปผาอะไรทั้งสิ้น
ตี้อีชิวปล่อยให้นางเอนพิง มือขวาเริ่มปลดเสื้อขนสัตว์สีดำของตนออก
เอ๊ะ?…หวงหร่างมองดูเขาถอดชุดคลุมตัวนอกด้วยมือเดียวตาค้าง นะ…นะ…นี่…แม้ท่านจะมีความชื่นชอบบางอย่างที่มิอาจบอกใครได้ แต่อยู่ต่อหน้าผู้คน อยู่ท่ามกลางลมหนาวเสียดกระดูก กระทำเรื่องเช่นนั้นในแปลงบุปผา เกรงว่าจะเหลวไหลเกินไปแล้วกระมัง…
อีกทั้งกองเสวียนอู่แห่งนี้ของท่านมีศิษย์มากมาย ท่านไม่กลัวใครจะมาเห็นเข้า สร้างความทรงจำอันเลวร้ายในวัยเยาว์ให้พวกเขาหรือ…
รูม่านตาของหวงหร่างหดเล็กลงจนเท่าปลายเข็ม ตี้อีชิวปูเสื้อขนสัตว์ลงบนพื้น จากนั้นก็ประคองนางให้นั่งลงบนนั้น
เอ่อ…
กล้วยไม้เบื้องหน้าใบอวบหนา ดอกก็บานสะพรั่งงดงาม มีหลากหลายสีสันทั้งสีเหลือง สีแดง สีขาว…
กล้วยไม้นี้ปลูกได้ดียิ่ง แม้มิอาจเทียบกับต้นที่นางปลูกเองกับมือได้ แต่นางเป็นภูตดิน ผู้อื่นปลูกได้ดีเพียงนี้ย่อมต้องทุ่มเทความคิดจิตใจไปมากแน่นอน คนอื่นไม่เข้าใจ แต่นางศึกษาเรื่องกล้วยไม้มาร้อยกว่าปีย่อมเข้าใจเป็นอย่างดี
“ชอบหรือไม่” ตี้อีชิวนั่งลงข้างกายนาง กุมมือนางไว้ จับปลายนิ้วของนางไปสัมผัสใบอวบหนาและกลีบดอกสีสันฉูดฉาดเหล่านั้น
ความจริงแล้วก็มิอาจพูดว่าชอบได้ ในฐานะภูตดินที่ชื่นชอบการปรับปรุงพันธุ์พืชเป็นชีวิตจิตใจ หวงหร่างพบเจอบุปผาที่งดงามมามากเหลือเกิน จะว่าไปแล้วกล้วยไม้ก็เป็นเพียงบุปผาพันธุ์หนึ่งเท่านั้น โลกภายนอกเล่าลือกันว่านางชื่นชอบกล้วยไม้ เหตุผลเพียงเพราะ…
เซี่ยหงเฉินชื่นชอบกล้วยไม้
ด้วยเหตุนี้นางจึงทุ่มเทเวลาร้อยกว่าปีเพาะเลี้ยงกล้วยไม้สายพันธุ์ดัดแปลงขึ้นนับไม่ถ้วน บุปผาเหล่านี้ไม่ต้องนำไปสกัด แค่ขยี้ดอกใบของมันก็สามารถนำไปทำเครื่องหอมได้
ไม่รู้ว่าตอนนี้ใครเป็นคนดูแลบุปผาในสำนักเซียนอวี้หูเหล่านั้น
“เจ้าหายตัวไปสิบปี โลกนี้ยากนักที่จะหาซื้อเมล็ดพันธุ์ที่เจ้าเป็นผู้ปรับปรุงขึ้นเอง” เสียงของเขาแผ่วเบายิ่ง คล้ายปะปนอยู่ท่ามกลางสายลมหนาว
อันที่จริงตลอดร้อยกว่าปีที่แต่งเข้าสำนักเซียน ตัวนางมิได้ปรับปรุงเมล็ดพันธุ์ธัญพืชและสมุนไพรนานแล้ว สิ่งที่นางศึกษาค้นคว้าส่วนใหญ่ล้วนเป็นบุปผา งดงามก็จริง แต่ถ้าจะกล่าวถึงประโยชน์ใช้สอย อย่างไรก็น้อยนิดยิ่งนัก ชาวบ้านที่ใดจะต้องการเล่า
หวงหร่างครุ่นคิดเงียบๆ ในใจ
“เจ้ากรม” รองเจ้ากรมหลี่ลู่เดินเข้ามา เขาสวมชุดคลุมสีแดงเข้ม คลุมทับด้วยชุดคลุมตัวใหญ่ แม้จะผ่ายผอม แต่ก็กระฉับกระเฉง “กองพยัคฆ์ขาวจับสายลับคนหนึ่งได้ในเมืองชั้นใน กำลังสอบสวนขอรับ อาจเป็นคนของสำนักเซียนอวี้หู”
สำนักเซียนอวี้หู?
คำพูดนี้ดึงดูดความสนใจของหวงหร่าง ตี้อีชิวกลับกระชับชุดคลุมกันลมให้นางพลางเอ่ยว่า “เจ้าชมบุปผาอยู่ที่นี่ก่อน ค่ำหน่อยข้าจะมารับเจ้า”
กล่าวจบตี้อีชิวก็จัดชายกระโปรงของนางให้เรียบร้อย ปล่อยให้นางนั่งพิงศิลาก้อนใหญ่กลางแปลงบุปผาแล้วหันกายจากไป แน่นอนว่าหลี่ลู่ก็ตามเขาไปด้วย
หวงหร่างนั่งอยู่ท่ามกลางบุปผาเพียงลำพัง นอกแปลงบุปผามีศิษย์วิ่งเล่นหยอกเย้ากันผ่านมาเป็นครั้งคราว แต่ไม่มีใครสักคนเดินมาทางนี้ เสื้อขนสัตว์ที่ตี้อีชิวปูลงบนพื้นกล่าวได้ว่าเป็นการวาดเขตแดนหวงห้ามผืนหนึ่ง เด็กกึ่งโตหลายคนในชุดคลุมบัณฑิตสีน้ำเงินที่อยู่นอกแปลงบุปผาได้แต่ลอบมองนาง
“เป็นแม่นางคนหนึ่ง มีชีวิตกระมัง” มีคนกระซิบเสียงค่อย
“เหลวไหล แน่นอนว่าต้องไม่ใช่อยู่แล้ว! เจ้าเคยเห็นคนตัวเป็นๆ ที่งดงามเพียงนี้ด้วยหรือ” เด็กอีกคนแย้ง
อืม อายุยังน้อย แต่ช่างรู้จักเจรจายิ่งนัก
Comments
