“เหมันต์ปีนี้หนาวเหน็บเป็นพิเศษจริงๆ” เซี่ยหงเฉินรวบอาภรณ์สีขาวพลางพูดเบาๆ “หากนางตัดสินใจเช่นนี้แล้ว ก็ได้”
ตี้อีชิวยกมือเป็นสัญญาณ จากนั้นก็มีคนนำกระดาษกับพู่กันมาให้
กระดาษถูกคลี่ออกบนโต๊ะตัวเล็ก เซี่ยหงเฉินจับพู่กันแต้มหมึก ข้างหูได้ยินเสียงลมหิมะไม่หยุด ความเหน็บหนาวทับถมและจับตัวแข็งในหัวใจ
เขาจับพู่กันจรดลงไป ความทรงจำจับตัวเป็นน้ำแข็งทีละชั้นๆ
…หากอดีตล้วนเป็นมายาลวง ยามนี้เจตนาเปิดเผยออกมาแล้ว เจ้าต้องการสิ่งใดก็จงเอาไปเถิด
หนังสือหย่าฉบับหนึ่งเขาเขียนจนเสร็จสิ้นและลงนามโดยมีแถบผ้าสีขาวปิดตาอยู่
ตี้อีชิวได้รับหนังสือฉบับนี้แล้วก็ม้วนเข้าด้วยกัน ก่อนจะเก็บลงในวัตถุวิเศษเก็บของอย่างทะนุถนอม
เซี่ยหงเฉินกล่าวว่า “มีหนังสือนี้แล้วนางคงจะยอมมาพบหน้าข้าได้แล้วกระมัง”
“ย่อมได้แน่นอน” ตี้อีชิวยกมุมปากขึ้นน้อยๆ ดวงตาเต็มไปด้วยแววเสียดสี เขาเอ่ยว่า “ข้าจะไปเชิญนางมา”
เซี่ยหงเฉินยิ้มพลางกล่าว “ดูเหมือนว่านางอยู่ในกรมซือเทียนจะสูงศักดิ์มากจริงๆ แค่จะออกมาพบข้าสักครั้งยังต้องรบกวนให้เจ้ากรมไปเชิญด้วยตนเอง”
เดิมทีตี้อีชิวเดินออกไปแล้ว พอได้ยินดังนั้นฝีเท้าก็ชะงักเล็กน้อย เขาอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็เปลี่ยนเป็นคล้อยตามอีกฝ่าย
“ประมุขสำนักเซี่ยกล่าวถูกต้อง ตอนนี้นาง…เปราะบางมากจริงๆ”
ตี้อีชิวออกจากประตูไป เซี่ยหงเฉินตามไปหลายก้าว เขาเดินออกจากห้องโถงรับแขก ริมทางสายเล็กที่ปูด้วยแผ่นอิฐมีลวดลายทอดยาวออกไป ต้นเหมยต้นหนึ่งที่ถูกหิมะปกคลุมบานสะพรั่ง เฉิดฉันตระการตา
เขายืนอยู่ใต้ชายคา หิมะในลานเรือนทับถมจนสูงถึงหัวเข่า
เซี่ยหงเฉินยื่นมือออกไป เกล็ดหิมะเหล่านั้นถูกสายลมพัดพา ลอยละล่องมาตกลงบนฝ่ามือเขา
ข้างหูได้ยินเสียงคนพูดว่า ‘หงเฉินจากไปครานี้ไม่รู้ว่ายังมีวันได้พบกันอีกหรือไม่ บุปผานี้จะผลิบานยามต้องหิมะ ข้าจึงตั้งชื่อให้มันว่า ‘เนี่ยนจวินอัน’ นับแต่นี้ไปไม่ว่าสุดหล้าฟ้าเขียว ทุกทิวาราตรี ยามบุปผาผลิบาน ขอให้ท่านสุขสมบูรณ์’
ทว่าร้อยปีในความฝันนี้เขาไม่ได้รับบุปผานี้อีกเลย
หวงหร่าง ปีนี้หิมะเหมันต์มาเยือนอีกครา แต่ท้ายที่สุดแล้วเจ้าก็เลือกที่จะผลิบานในกรมซือเทียน
ท่ามกลางลมหิมะ มีคนมุ่งหน้ามาทางนี้
เซี่ยหงเฉินถอนสายตากลับมา ดังนั้นต้นไม้ที่แดงดุจเพลิงต้นนั้นจึงสูญสลายหายไปจากม่านตาเขา เขาจ้องมองไปกลางหิมะ เห็นเพียงตี้อีชิวเข็นคนผู้หนึ่งมุ่งหน้ามาทางนี้
เข็นหรือ
ใช่ ตี้อีชิวเข็นเก้าอี้ล้อเข็น บนเก้าอี้ล้อเข็นมีคนผู้หนึ่งนั่งอยู่อย่างสงบ
เป็นสตรีนางหนึ่ง
สายลมพัดหิมะโปรย ร่มไม่อาจสกัดความหนาวเหน็บได้ ดังนั้นตี้อีชิวจึงเดินเร็วมาก
ชั่วครู่ต่อมาเขาเข็นสตรีบนเก้าอี้ล้อเข็นเข้ามาในห้องโถงรับแขก เซี่ยหงเฉินก้าวเร็วๆ เข้าไป…แน่นอนว่านั่นคือหวงหร่าง
นางสวมชุดกระโปรงผ้าโปร่งสีดำ ชายกระโปรงฟูฟ่อง อาภรณ์ดูซับซ้อนและงามวิจิตร บนผ้าโปร่งประดับด้วยลูกปัดเม็ดเล็กเป็นลวดลายหกแฉกคล้ายเกล็ดหิมะที่ปลิวว่อน เข้ากับสภาพอากาศในวันนี้ทีเดียว
มวยผมของนางก็เกล้าอย่างเรียบร้อย บนศีรษะเสียบหวีสับรูปพัดอันหนึ่ง ขอบหวีสับประดับไข่มุก
เหมือนกลัวว่าจะหนาว ด้านนอกนางสวมชุดคลุมกันลมทับอีกที สายผูกของชุดคลุมกันลมเป็นพู่ระย้าหยกขาว ยามนี้มือเรียวยาวบอบบางของนางทับอยู่บนสายพู่ระย้านี้เบาๆ แม้กระทั่งเล็บนิ้วมือยังประดับไข่มุกที่ทำเป็นลวดลาย
ตลอดทั้งร่างตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าประณีตงดงามจนดูไม่เหมือนจริง
เซี่ยหงเฉินคิดไม่ถึงว่าจะได้พบเห็นนางในสภาพเช่นนี้
นางนั่งอยู่บนเก้าอี้ล้อเข็นอย่างเรียบร้อย เกล็ดหิมะกระจัดกระจายละลายอยู่บนผมนาง ใบหน้าของนางยังคงประณีต งดงามจนใกล้เคียงกับนางปีศาจ แต่แววตากลับไร้ประกายคล้ายสูญเสียจิตวิญญาณไปแล้ว
เซี่ยหงเฉินเดินไปตรงหน้านาง ต่อให้ในความฝันครั้งแรกหวงหร่างจะเอ่ยคำพูดแปลกๆ กับเขา ต่อให้เขาได้เห็นร่องรอยที่น่าสงสัยในห้องลับกลางเขาลึก ต่อให้เขาเชื่อเรื่องทั้งหมดนี้ไปครึ่งหนึ่งแล้ว แต่ยังคงคิดไม่ถึงว่าหวงหร่างในตอนนี้จะมีสภาพเป็นเช่นนี้
เขาเคยคิดว่าบางทีอาจเป็นละครฉากหนึ่งของหวงหร่างที่อยากทำให้เขาเสียใจ ทั้งยังเคยคิดถึงความเป็นไปได้ที่ราชสำนักอาจหลอกใช้หวงหร่างเพื่อโจมตีสำนักเซียนอวี้หู หรือไม่หวงหร่างก็หันไปรักคนใหม่ โผเข้าหาตี้อีชิวแล้ว หรือเดิมทีนางเป็นแค่หมากตัวหนึ่งของซือเวิ่นอวี๋ นับตั้งแต่ตอนที่นางปรากฏตัวต่อหน้าเขาก็เป็นแผนการหลอกลวงอย่างหนึ่ง
แต่เขาไม่เคยคิดว่าจะได้พบกับนางในสภาพเช่นนี้