เขาจงใจพูดถึงของรักของหวงในช่วงนี้ของตี้อีชิวก่อน เป็นการแสดงให้เห็นว่าเขามีหูตาที่ร้ายกาจในกรมซือเทียน จากนั้นค่อยเอ่ยถึงเจ้าห้า แม้เขาจะมิได้ก้าวเท้าออกจากเจดีย์หยวนหรงเป็นเวลานาน แต่เรื่องราวในกรมกองต่างๆ เขาล้วนกระจ่างแจ้ง
บางทีเขาอาจรู้เรื่องการตายของนายท่านห้าแล้ว
ตี้อีชิวก้มหน้าลง “นิสัยของพี่ห้าไฉนเลยจะมาพูดคุยความในใจกับกระหม่อมได้เล่าพ่ะย่ะค่ะ”
ไม่เผยพิรุธแม้แต่น้อยจริงๆ ซือเวิ่นอวี๋มิอาจจับสังเกตสิ่งใดจากใบหน้าของอีกฝ่ายได้ จึงเอ่ยว่า “แม้นิสัยเขาจะดื้อรั้นแข็งกร้าว เจ้าก็ต้องใจกว้างกับเขาหน่อย อย่างไรก็เป็นพี่น้องแท้ๆ กัน”
ตี้อีชิวรับคำอย่างนอบน้อม
ซือเวิ่นอวี๋จึงพูดต่อ “อาจเป็นเพราะหิมะตกอากาศหนาว สองวันมานี้เรารู้สึกว่าร่างกายอ่อนเพลียยิ่ง”
ตี้อีชิวเข้าใจ จึงตอบว่า “ยาลูกกลอนอายุวัฒนะยังหลอมไม่เสร็จ พระวรกายของฝ่าบาทยากจะปรับตัวกับอากาศที่หนาวเย็นได้ มิสู้ใช้โลหิตของกระหม่อมบรรเทาความเหนื่อยล้าชั่วคราวก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
ซือเวิ่นอวี๋พยักหน้าตอบ “ก็ดีเช่นกัน เรามีบุตรชายบุตรสาวนับไม่ถ้วน กลับมีเพียงโลหิตของเจ้าที่บริสุทธิ์ที่สุด”
หน้าผากตี้อีชิวจรดลงบนพื้นอีกครั้ง “กระหม่อมจะไปนำโลหิตมาถวายเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ”
ซือเวิ่นอวี๋สูดควันจากในเตา ตี้อีชิวรู้ว่านั่นคือสิ่งใด…เครื่องหอมที่ทำจากหญ้าเทวดา
ร้อยกว่าปีก่อนเขามุ่งหน้าไปยังตำบลเซียนฉา พบว่าหวงหร่างตั้งใจปรับปรุงหญ้าเทวดาขึ้นมาโดยเฉพาะ นางใช้หญ้านี้มวนยาเส้นให้หวงซู่ผู้เป็นบิดา หญ้านี้ทำให้คนติดได้ง่าย นางจึงใช้ยาลูกกลอนเรียกสติถอนพิษออกในภายหลัง หวงซู่ชื่นชอบยิ่งนัก
ตี้อีชิวหาวิธีทำให้ซือเวิ่นอวี๋ค้นพบมัน ซือเวิ่นอวี๋มีนิสัยช่างระแวง ย่อมต้องตรวจสอบข้อดีข้อเสียของหญ้านี้อย่างละเอียด ถึงกระนั้นหลังจากซือเวิ่นอวี๋จุดกำยานที่ทำจากหญ้านี้แล้วก็มิอาจต้านทานความเย้ายวนของมันได้ แต่เขาก็ระมัดระวังรอบคอบ กินยาลูกกลอนเรียกสติลงไปเช่นกันเพื่อต้านทานฤทธิ์ยาของหญ้าเทวดา
ความอัศจรรย์ของหญ้านี้อยู่ที่หลังเสพมันเข้าไป ผู้เสพจะเข้าสู่ภาวะเคลิบเคลิ้มทันที สิ่งที่แสวงหา สิ่งที่เฝ้ารอคอยล้วนกลายเป็นความจริง ของเช่นนี้ทั้งที่รู้ดีว่าต้องจ่ายค่าตอบแทน แต่ก็ยังมีคนยากจะตัดใจจากมันได้
จริงดังคาด ซือเวิ่นอวี๋สูดดมเครื่องหอมนี้แล้ว สติรับรู้ค่อยๆ เลือนราง ร่างกายอ่อนปวกเปียก เขาโบกมือพลางเอ่ยขึ้น
“ไปเถิด”
ตี้อีชิวค้อมกายและขอตัว ก่อนจากไปเขามองไปยังซือเวิ่นอวี๋ที่อยู่ท่ามกลางหมอกควันที่ม้วนตัวขึ้นมา
เขามองเห็นอะไร
ความหวังทั้งชีวิตของตนเองหรือ
ตี้อีชิวมิได้ถามอะไร เขาเดินมาถึงชั้นใต้ดินของเจดีย์ ชั้นใต้ดินของเจดีย์หยวนหรงยังมีโลกอีกใบซ่อนอยู่
ที่นี่ไม่มีภาพวาดบนผนังที่งามวิจิตรอีกแล้ว แสงเทียนสลัวส่องให้เห็นห้องขังหลายห้องอย่างเลือนราง
คนในห้องขังถูกล่ามด้วยโซ่เหล็ก ก้าวเดินได้ในรัศมีหนึ่งจั้งเท่านั้น ครั้นได้ยินเสียงพวกเขาก็ถลามาตรงประตูห้องขัง ผมเผ้ายุ่งเหยิงดูไม่เหมือนคน ที่น่าสะพรึงยิ่งกว่านั้นคือบนร่างพวกเขาล้วนมีเกล็ดงูขึ้นอยู่หนาแน่น เกล็ดงูกระจัดกระจายไม่เป็นระเบียบ ผุดขึ้นบนร่างกายอย่างไร้ทิศทาง เห็นแล้วชวนให้ขนพองสยองเกล้า
“ปล่อยข้าออกไป! ปล่อยข้าออกไป!” พวกเขาออกแรงเขย่าประตูห้องขังสุดชีวิต ส่งเสียงตะโกนคลุมเครือไม่ชัดเจนออกมา
มีขันทีเขี่ยไส้ตะเกียงให้สว่างขึ้น พวกเขาปิดตาทันใด ขดตัวเข้าไปในมุม คล้ายทนรับแสงสว่างเช่นนี้ไม่ได้
ขันทียื่นมีดเงินเล่มหนึ่งให้ตี้อีชิวอย่างนอบน้อม จากนั้นก็ประคองชามทองใบหนึ่งมา
ตี้อีชิวรับมีดมาและกรีดลงบนข้อมือ โลหิตค่อยๆ ไหลมารวมกันกลายเป็นสีแดงสดในชาม ขันทีผู้นั้นจ้องชาม จนกระทั่งได้โลหิตครึ่งค่อนชามแล้ว ในที่สุดก็หยิบผ้าพันแผลออกมาพลางพูดขึ้น
“ได้แล้วขอรับ บ่าวจะใส่ยาให้เจ้ากรม”
ตี้อีชิวกดบาดแผลไว้ รับผ้าพันแผลมาและตอบว่า “ไม่จำเป็น”
เมื่อเขาพันแผลให้เรียบร้อยด้วยตนเอง จากนั้นขันทีก็ส่งเขาออกไป
ก่อนขึ้นไปเขาหันกลับไปมอง ในห้องขังที่ไม่เห็นเดือนเห็นตะวันแห่งนี้มีดวงตาหลายคู่จับจ้องมาที่เขา