ซย่าโหวโหย่วเต้าเป็นบุตรชายสายตรงคนโต อู่จงฮ่องเต้ตั้งความหวังกับเขาไว้สูงมาก ทว่าร่างกายเขากลับไม่แข็งแรง การเล่าเรียนและวิชายุทธ์ก็ธรรมดามาก หลังจากเหวินเซวียนฮองเฮาล้มป่วย ซย่าโหวโหย่วเต้าก็ไม่ค่อยได้ใกล้ชิดกับอู่จงฮ่องเต้เหมือนแต่ก่อน มารดาขององค์ชายรองจึงถือโอกาสนี้พูดจาว่าร้าย ทำให้อู่จงฮ่องเต้เริ่มไม่พอใจในตัวบุตรชายคนนี้ พบหน้ากันทีไม่ตวาดก็ตำหนิ ประกอบกับไม่มีเหวินเซวียนฮองเฮาคอยไกล่เกลี่ย ทำให้ทุกครั้งเวลาซย่าโหวโหย่วเต้าเห็นอู่จงฮ่องเต้จึงล้วนทำท่าเหมือนหนูเห็นแมว หากไม่หลบลี้หนีหน้าก็หวาดกลัวจนตัวสั่น ทุกครั้งที่อู่จงฮ่องเต้เห็นเขา คิดถึงตนเองที่เก่งกาจทั้งด้านการปกครองและการทหาร แต่กลับมีบุตรชายสายตรงคนโตเช่นนี้ ในใจให้หงุดหงิดยิ่งนัก อยากให้ตนเองไม่เคยมีบุตรชายคนนี้เสียเลย ที่ผ่านมาจึงมักเข้มงวดกวดขันกับซย่าโหวโหย่วเต้าเป็นอย่างยิ่ง
ไปๆ มาๆ ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกจึงตึงเครียดอย่างมาก ซย่าโหวโหย่วเต้ากลายเป็นคนขี้ขลาดหวาดกลัวมากขึ้นทุกที หากไม่ใช่เพราะมีซย่าโหวอวี๋คอยพูดจาสนับสนุนน้องชายผู้นี้ต่อหน้าอู่จงฮ่องเต้ อู่จงฮ่องเต้คงตัดหางปล่อยวัดบุตรชายผู้นี้ไปแล้ว และปล่อยให้เขาใช้ชีวิตไปตามยถากรรม
ในเมื่อซย่าโหวโหย่วเต้าเติบโตมาเช่นนี้ จะให้เป็นโอรสสวรรค์ที่ไม่มีนิสัยลังเลขาดความเด็ดขาดและใจเสาะขี้กลัวได้อย่างไร หากบอกว่าเป็นความผิดของใคร นั่นย่อมเป็นความผิดของเสด็จพ่อ จะปัดความผิดมาที่น้องชายนางทั้งหมดได้อย่างไร นางเชื่อว่าหากอู่จงฮ่องเต้คอยชี้แนะโอรสสวรรค์ดีๆ โอรสสวรรค์ย่อมไม่กลายเป็นเช่นนี้
ซย่าโหวอวี๋หยุดความคิดฟุ้งซ่านในใจ แล้วหยอกเย้าน้องชาย “เห็นทีหากการแต่งงานกับคนจากสกุลชุยประสบความสำเร็จ น้องชายคงจะดีใจมาก?”
ซย่าโหวโหย่วเต้าหน้าแดงเรื่อ เขาแย้งเสียงดัง “ข้ามีอะไรให้ดีใจ ท่านน้าสะใภ้ต่างหากที่ดีใจ!” แม้คำพูดจะสื่อความหมายไปอีกทาง แต่น้ำเสียงกลับเจือความหวานและยินดีอยู่หลายส่วน
ซย่าโหวอวี๋ตะลึงงัน นางคิดว่าเรื่องการเกี่ยวดองกับสกุลชุยเป็นเพียงแผนการรับมือกับสถานการณ์เท่านั้น คิดไม่ถึงว่าน้องชายจะตั้งความหวังกับการแต่งงานครั้งนี้ไว้มากเพียงนี้
ซย่าโหวอวี๋คิดถึงการจากไปก่อนวัยอันควรของน้องชายเมื่อชาติก่อน และคิดถึงชะตากรรมของคุณหนูเจ็ดสกุลชุยแล้ว นางก็รู้สึกเศร้าใจเหลือเกิน อดลูบศีรษะน้องชายไม่ได้ พึมพำว่า “พวกเจ้าล้วนยังมีชีวิตอยู่ ดีจริงๆ”
“พี่สาวบอกว่าอะไร ‘ดีจริงๆ’ หรือ” เสียงของพี่สาวเบาเกินไป เขาได้ยินไม่ชัด แต่กลับจับความโศกเศร้าและสลดหดหู่จากน้ำเสียงของพี่สาวได้
ซย่าโหวอวี๋รีบยิ้มพูด “ข้าบอกว่า…น้องชายข้าจะแต่งภรรยาแล้ว ดีจริงๆ!”
ซย่าโหวโหย่วเต้าเขินอาย ใบหน้าแดงยิ่งกว่าเดิม
ซย่าโหวอวี๋หัวเราะ นางพูดคุยเป็นเพื่อนน้องชายอีกหลายคำ กำชับเขาด้วยคำพูดทำนองว่า ‘อย่าอ่านตำรามากเกินไป ระวังสายตาด้วย’ ‘ต้องนอนแต่หัวค่ำและตื่นแต่เช้า’ ก่อนจะออกจากตำหนักทิงเจิ้ง
ทว่าพอนางก้าวออกจากตำหนักทิงเจิ้ง สองขากลับอ่อนยวบจนต้องประคองนกกระเรียนทองแดงข้างทางไว้
“จ่างกงจู่! ท่านเป็นอะไรไปเพคะ” นางกำนัลที่ติดตามรับใช้เห็นนางมีใบหน้าซีดขาว เหงื่อเย็นไหลไม่หยุด ก็อดอุทานเสียงค่อยไม่ได้ “ข้าจะไปเชิญหมอประเดี๋ยวนี้!”
“ไม่ต้อง!” ซย่าโหวอวี๋ส่ายหน้ายิ้มน้อยๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยน้ำตา
นางย้อนกลับมาในอดีตจริงๆ!
กลับมาในอดีตจริงๆ!
นางจำได้ชัดเจน ครั้งก่อนนางกับพวกฟั่นซื่อแยกย้ายจากกันไปด้วยความไม่พอใจ นางกลัวว่าอารมณ์ของตนเองจะส่งผลกระทบต่อน้องชาย หลังส่งฟั่นซื่อจากไปแล้วจึงพักผ่อน จวบจนถึงเทศกาลซั่งซื่อ หลูไหวโผล่มา นางถึงได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ถึงยามนั้นนางพูดอะไรก็ล้วนสายเกินไปแล้ว ระหว่างเดินทางจากเขาจงซานกลับวัง นางยังตำหนิน้องชายไปคำรบหนึ่ง
“อาเหลียง!” นางร้องเรียกตามความเคยชิน “เจ้ามาให้ข้าหยิกหน่อย ข้าจะดูว่าเจ้าเจ็บหรือไม่” นางไม่อยากเชื่อในความโชคดีของตนเอง
นางกำนัลด้านข้างตอบเสียงค่อย “วันนี้อาเหลียงไม่เข้าเวร จ่างกงจู่จะให้เรียกตัวนางมาหรือไม่เพคะ”