ซย่าโหวอวี๋หลุดหัวเราะออกมา ความรู้สึกของการมีชีวิตใหม่และได้ย้อนกลับมาอีกครั้งยิ่งเหมือนจริงกว่าเดิม หากนางจำไม่ผิด ตอนนี้อาเหลียงอายุสิบแปดปี ยังเป็นนางกำนัลหวีผมตำแหน่งเล็กๆ ในตำหนักเฟิ่งหยาง หลังจากน้องชายนางสวรรคต นางก็ไม่อยากให้คนที่เคยปรนนิบัติเสด็จแม่กับน้องชายอยู่ในวังต่อไป เพราะอาจถูกเฝิงไทเฮาทรมาน จึงให้พวกเขาติดตามนางไปจวนสกุลเซียว ภายหลังนางกับเซียวหวนทะเลาะกัน อาเหลียงตามนางไปอยู่ที่ไร่ชานเมืองซึ่งเป็นสินเจ้าสาวของนาง
นางพูดกับนางกำนัลผู้นั้น “เจ้าไปบอกนางข้าหลวงตู้ที นับแต่นี้ไปให้อาเหลียงคอยปรนนิบัติข้างกายข้า”
ชาติก่อนอาเหลียงเฉลียวฉลาดมีความสามารถ จงรักภักดีต่อนาง ชาตินี้นางยังคงตัดสินใจใช้งานอาเหลียงต่อ
ยังมีอาห่าวอีกคน ปีนี้น่าจะแค่ห้าขวบ เป็นลูกสาวชาวนาครอบครัวหนึ่งในไร่ชานเมืองที่เป็นสินเจ้าสาวของนาง ถึงเวลาต้องอย่าลืมบอกอาเหลียงให้ส่งคนไปรับนางเข้าจวน…นอกจากนี้ยังมีพ่อบ้านอีกสองสามคนที่ติดตามนางไปโดยไม่ลังเลตอนนางออกจากสกุลเซียว ล้วนเป็นคนที่สามารถใช้งานได้…
ลมกลางคืนโชยปะทะใบหน้า กลิ่นหอมจากใบหญ้าลอยมาเลือนราง
ซย่าโหวอวี๋สูดลมหายใจเข้าลึก นางอาศัยอยู่ในไร่ชานเมืองมาสิบปี อากาศที่สูดเข้าไปทุกวันล้วนเป็นเช่นนี้ แต่กลับไม่มีเวลาใดที่รู้สึกปลอดโปร่งสดชื่นทั้งกายและใจเฉกเช่นยามนี้ นางก้าวยาวๆ ไปข้างหน้า ดินแข็งแน่นใต้ฝ่าเท้ากับเงาจันทร์ข้างกายล้วนทำให้นางเบิกบานใจอย่างมาก
ซย่าโหวอวี๋เห็นตู้ฮุ่ยรุดมารับ นางจึงเอ่ยถามตู้ฮุ่ย “ได้ยินว่าดอกแปดเซียน ในวัดหย่งหนิงบานแล้วหรือ”
ตู้ฮุ่ยอึ้งไป เมืองเจี้ยนคังเพิ่งจะฟื้นฟูความเจริญรุ่งเรืองได้เมื่อสิบปีที่แล้ว คนที่นับถือศาสนาพุทธค่อยๆ เพิ่มขึ้น เดือนสี่วันที่แปดของทุกปีจะมีการจัดงานวัด วัดเจ็ดแปดแห่งในเมืองล้วนต้องการโดดเด่นเป็นที่หนึ่ง จึงเค้นสมองขบคิดหาวิธีเชิญผู้สูงศักดิ์มาร่วมงานวัดที่วัดของตนให้ได้
ดอกแปดเซียนพวกนั้นเดิมทีจะผลิบานในช่วงเทศกาลตวนอู่ ดอกไม้มีขนาดใหญ่เท่ากระถาง ประกอบขึ้นจากดอกไม้ห้ากลีบจำนวนแปดดอก เกสรคล้ายผีเสื้อ เวลาสายลมพัดผ่านดูเหมือนผีเสื้อล้อไข่มุก ทั้งยังเหมือนแปดเซียนเริงระบำ จึงได้ชื่อดังกล่าวมา นับเป็นดอกไม้ที่หายากทีเดียว
ไม่รู้วัดหย่งหนิงไปหาต้นแปดเซียนมาจากที่ใดสองต้น ทั้งยังใช้วิธีการพิเศษเร่งให้ต้นไม้ออกดอกก่อนเวลาในฤดูใบไม้ผลิ จากนั้นส่งคนมาหานางที่บ้าน หมายจะเชิญโอรสสวรรค์กับจิ้นหลิงจ่างกงจู่ไปชมดอกไม้
ตู้ฮุ่ยรู้สึกไม่เหมาะสม จึงไม่ได้บอกเรื่องนี้กับจ่างกงจู่ ไม่รู้ว่าเป็นผู้ใดไปปากมากต่อหน้าจ่างกงจู่กันแน่
ตู้ฮุ่ยยิ้มพูด “มีเรื่องเช่นนี้จริงเพคะ แต่หลายปีมานี้วัดหย่งหนิงมักชิงดีชิงเด่นกับวัดฉือเอิน ข้าคิดว่าจ่างกงจู่กับโอรสสวรรค์อย่าเข้าไปยุ่งจะดีกว่า หาไม่แล้วจะกลายเป็นเครื่องมือของภิกษุเหล่านี้”
วัดฉือเอินเป็นวัดที่หลูยวนสร้างให้มารดาบังเกิดเกล้าที่เสียชีวิตไป วัดเพิ่งสร้างขึ้นมาได้สามปีห้าปี แต่มีผู้มาสักการะบูชาจำนวนมาก สามารถเทียบชั้นกับวัดใหญ่ที่สร้างมาร้อยปีได้เลย
ในความทรงจำของซย่าโหวอวี๋ เวลานี้ตู้ฮุ่ยยังไม่ได้บอกนางเรื่องดอกแปดเซียนในวัดหย่งหนิงบาน แต่ภายหลังเมื่อน้องชายป่วย สลบไสลไม่ได้สติ ตู้ฮุ่ยต้องการปลอบโยนนาง จึงบอกนางว่าวัดหย่งหนิงมีความเป็นสิริมงคล ทั้งดอกแปดเซียนยังผลิบานในช่วงเวลานี้ได้ ทำให้นางเกือบไปขอพรให้น้องชายที่วัดหย่งหนิงแล้ว
คิดถึงตรงนี้ ซย่าโหวอวี๋ก็ลอบถอนหายใจอย่างอดไม่ได้ นางจับมือตู้ฮุ่ยไว้ มือของตู้ฮุ่ยผอมแห้งเรียวยาวทว่าอบอุ่น นางมีชีวิตใหม่อีกครั้งจริงๆ ซย่าโหวอวี๋แน่ใจเรื่องนี้อีกครั้ง ซบไหล่ตู้ฮุ่ยพึมพำว่า “ให้ข้าพักสักหน่อย!”
กลิ่นไม้จันทน์อ่อนจางวนเวียนอยู่ที่ปลายจมูก นี่เป็นกลิ่นจากร่างกายของตู้ฮุ่ย
ตู้ฮุ่ยราวกับเป็นมารดาบังเกิดเกล้าของนาง ชอบไหว้พระ เช้าเย็นจะต้องจุดธูปหนึ่งดอกต่อหน้าพระพุทธองค์เสมอ เมื่ออยู่ใกล้จะได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ของไม้จันทน์จากร่างกายตู้ฮุ่ย แต่พวกนางกลับไม่รู้ตัวสักนิด
ซย่าโหวอวี๋รู้สึกแสบตา เวลานี้นางกล้าแน่ใจแล้วว่านางย้อนเวลากลับมาสิบปีก่อนจริงๆ ชีวิตในชาติก่อนของนางดูเหมือนจะล้มเหลวเมื่อใกล้สำเร็จทุกครั้งไป แต่พอนางประสบเคราะห์ภัยถึงชีวิต นางกลับได้มีชีวิตใหม่
หากนี่เป็นความเมตตาของพระพุทธองค์ เช่นนั้นชีวิตนี้ขอให้นางสมปรารถนา ขอให้นางก้าวเดินต่อไปอย่างราบรื่นเถอะ! หาไม่แล้วนางจะมีชีวิตใหม่ไปเพื่ออะไร