ซย่าโหวอวี๋นอนอยู่บนเตียงนิ่งๆ จ้องมองม่านเตียงปักลายดอกอวี้จินท่ามกลางแสงสีเหลืองสลัว แล้วค่อยๆ เข้าสู่นิทรา
ในฝันเซียวหวนมองนางนิ่ง ดวงตาเป็นประกายลึกล้ำนิ่งสงบดุจบ่อน้ำ เห็นแล้วชวนให้รู้สึกเยียบเย็น หัวใจหนาวเหน็บ นางถามเขาว่ากินอาหารค่ำหรือยัง เขาไม่ตอบ ยังคงจ้องมองนาง นางว้าวุ่นไม่สบายใจ อยากพูดอะไรเล็กน้อย เหนือศีรษะพลันมีก้อนหินบ้างใหญ่บ้างเล็กห่อหุ้มด้วยดินโคลนร่วงตกลงมาราวสายฝน นางกุมศีรษะ หวีดร้องเสียงแหลมอย่างตื่นตระหนกและหลบเลี่ยง เซียวหวนปราดเข้ามาในก้าวเดียว บังศีรษะนางไว้ และกอดนางแนบอก
รอบด้านเงียบสนิท นอกจากลมหายใจของพวกเขาแล้วก็ไม่ได้ยินเสียงอื่นใดทั้งนั้น
นางถามเขาว่า ‘ท่านช่วยข้าทำไม’
เขาไม่ตอบ ยังคงเอาแต่จ้องมองนาง นัยน์ตาดำสนิททอประกายในความมืด ดูคล้ายสัตว์ป่าไร้อารยะ ดุร้ายเหี้ยมเกรียม นางถอยไปข้างหลังด้วยความหวาดกลัว แต่เขากลับประชิดเข้ามาทีละก้าว
จากนั้นก็อ้าปากกว้างอย่างดุดัน…
“ไม่! ไม่! ไม่!” ซย่าโหวอวี๋หวีดร้องเสียงแหลม นางสะดุ้งตื่นจากฝันร้ายในสภาพที่เหงื่อชุ่มโชกศีรษะ
ตู้ฮุ่ยนั่งอยู่ตรงหัวเตียงในสภาพเสื้อผ้าไม่เรียบร้อย รีบเขย่าตัวนาง พอเห็นนางลืมตาก็พรูลมหายใจยาว ถามอย่างเป็นกังวล “ฝันร้ายหรือเพคะ”
เนตรหงส์ของซย่าโหวอวี๋เบิกกว้าง ทอประกายหวาดหวั่นภายใต้แสงไฟ คล้ายคลื่นน้ำที่ไหวกระเพื่อม สามารถกระชากวิญญาณผู้พบเห็นได้
ตู้ฮุ่ยสะดุ้งในใจ ความรักใคร่สงสารเพิ่มขึ้นกว่าเดิม นางรีบเอ่ยว่า “นางข้าหลวงที่เข้าเวรได้ยินเสียงท่านละเมอ ปลุกท่านอย่างไรก็ไม่ตื่น จึงได้ตามข้ามา”
ซย่าโหวอวี๋พยักหน้า เสียงแหบแห้งเล็กน้อย “ข้าอยากดื่มน้ำ!”
นางกำนัลด้านข้างรีบไปรินน้ำอุ่นและยกเข้ามา ตู้ฮุ่ยประคองไหล่ซย่าโหวอวี๋เอาไว้ และป้อนนางดื่มน้ำ
พอน้ำอุ่นไหลผ่านลำคอของซย่าโหวอวี๋ไป จิตใจก็ประดุจทุ่งนาแห้งผากที่ได้รับความชุ่มชื้น นางเหมือนได้กลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง
ตู้ฮุ่ยพูด “เสื้อผ้าเปียกหมดแล้ว ต้องเปลี่ยนชุดใหม่นะเพคะ”
ซย่าโหวอวี๋จึงตัดสินใจอาบน้ำเสียเลย กว่าจะจัดการตนเองเสร็จเรียบร้อย ท้องฟ้าก็เริ่มปรากฏสีขาวแล้ว
ถึงวันก่อนวันเทศกาลซั่งซื่อแล้ว!
นางเดินไปตามทางของหลูยวนเมื่อชาติที่แล้ว หลูยวนคงไม่คัดค้านกระมัง ทว่าต่อให้หลูยวนคัดค้านก็ไม่เป็นไร เช่นนั้นก็ยังไม่ต้องเลือกฮองเฮาแล้วกัน! ถึงอย่างไรครั้งนี้คนที่ร้อนใจก็ไม่ใช่นางแน่
ซย่าโหวอวี๋ยกมุมปาก ก่อนจะเอนกายลงอีกครั้งและนอนต่อ
ตื่นมาอีกครั้งก็สายมากแล้ว อาเหลียงนั่งทำงานเย็บปักอยู่หน้าเตียงนางอย่างเรียบร้อย นางถามอาเหลียง “เวลาใดแล้ว”
อาเหลียงรีบวางเข็มกับด้ายในมือ ยกน้ำชาที่อุ่นอยู่ด้านข้างเข้ามา ปรนนิบัติซย่าโหวอวี๋ดื่มสองคำก่อนตอบว่า “ใกล้ยามอู่* แล้วเพคะ!”
น้องชายใกล้เลิกประชุมขุนนางแล้ว ซย่าโหวอวี๋พูดต่อ “นางข้าหลวงตู้ล่ะ”
อาเหลียงไม่รู้ นางกำนัลอีกคนจึงยิ้มตอบแทน “แม่ทัพใหญ่เห็นด้วยที่จะให้จัดงานเลี้ยงในวังในวันเทศกาลซั่งซื่อ นางข้าหลวงตู้จึงส่งคนไปตระเตรียมเพคะ”
ซย่าโหวอวี๋ผงกศีรษะ นางลุกขึ้นสวมเสื้อผ้าและประทินโฉม
ท้องฟ้านอกตำหนักแจ่มกระจ่างเหมือนผ่านการชะล้าง กิ่งก้านแตกหน่อ ทิวทัศน์เป็นฤดูวสันต์ไปแล้ว
อาเหลียงคุกเข่าข้างกายซย่าโหวอวี๋ ช่วยนางผูกหยกหยุดก้าว และถุงหอมพลางยิ้มพูด “อากาศกลับมาอบอุ่นแล้วจริงๆ ดอกอิ๋งชุน ในเรือนหลังบานสะพรั่งแล้วเพคะ”
ซย่าโหวอวี๋ยิ้มพูด “ประเดี๋ยวข้าจะไปกินอาหารกลางวันกับน้องชาย ไว้ตอนบ่ายค่อยไปดูแล้วกัน!”
อาเหลียงรับคำอย่างนอบน้อม “เพคะ”
ราวกับพวกนางยังอยู่ในไร่ชานเมือง แต่เพราะนางจะไปหาน้องชาย สถานการณ์จึงแตกต่างออกไป เหมือนสองช่วงเวลาทับซ้อนอยู่ด้วยกัน แม้จะมีส่วนที่ไม่เหมือนกัน แต่กลับยังมีเค้าลางความคล้ายคลึงให้เห็น
ซย่าโหวอวี๋มองต้นไม้ใหญ่ในลานที่มีใบหนาแน่นเขียวชอุ่มแล้วยิ้มพูด “วันนี้อากาศไม่เลวจริงๆ อากาศในวันเทศกาลซั่งซื่อก็น่าจะดีเช่นกัน”
โปรดติดตามตอนต่อไป