ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน อริร้ายหวนรัก บทนำ – บทที่ 1
แต่เจี้ยนผิงฮูหยินไม่เพียงไม่กลับไป ทั้งยังคุกเข่าตากฝนอ้อนวอนอยู่นอกประตู ซย่าโหวอวี๋รำคาญที่เจี้ยนผิงฮูหยินไม่รู้กาลเทศะจึงปล่อยให้นางคุกเข่าอยู่กลางสายฝนเช่นนั้นไปสองชั่วยาม แล้วค่อยสั่งให้สือเน่อออกหน้าไล่อีกฝ่ายกลับไป
“ลำบากเจ้าแล้ว!” ซย่าโหวอวี๋ยิ้มพลางพยักหน้ากับสือเน่อ พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “รีบไปพักผ่อนเถอะ ฝนตกหนักขนาดนั้น ไหล่เจ้าเปียกหมดแล้ว”
สือเน่อทำท่าเหมือนจะพูดอะไรแล้วเงียบไป ซย่าโหวอวี๋รู้ว่าเขาหาใช่คนไม่รู้หนักเบา นางจึงไล่ข้ารับใช้ข้างกายออกไปและเอ่ยถามเขา “เกิดอะไรขึ้นหรือ”
สือเน่อใคร่ครวญครู่หนึ่งก่อนตอบว่า “ได้ยินเจี้ยนผิงฮูหยินบอกว่าต้าซือหม่า ไม่พอใจโอรสสวรรค์อย่างมาก ลือกันอย่างลับๆ ว่าเขาจะปลดฮ่องเต้ นางรับคำสั่งจากโอรสสวรรค์และเฝิงไทเฮามาขอพบจ่างกงจู่ อยากขอร้องจ่างกงจู่ให้เห็นแก่โอรสสวรรค์ที่มีหน่อเนื้อเดียวกัน นับเป็นญาติใกล้ชิด ไม่ว่าอย่างไรก็อยากขอให้ท่านเปลี่ยนความคิดของต้าซือหม่าที่จะปลดฮ่องเต้พ่ะย่ะค่ะ”
ต้าซือหม่าเซียวหวนเป็นฟู่หม่า ของซย่าโหวอวี๋และเป็นหนึ่งในซานกง ยามเข้าเฝ้าฮ่องเต้มิต้องขานชื่อ ยามก้าวเข้าท้องพระโรงมิต้องเร่งรีบ สามารถพกกระบี่สวมรองเท้าเข้ามาได้ มีอำนาจยิ่งใหญ่ในราชสำนัก ส่งผลให้อำนาจของโอรสสวรรค์องค์ปัจจุบันตกต่ำ ทำอะไรจำต้องดูสีหน้าเขาก่อน
ซย่าโหวอวี๋หัวเราะเสียงเย็น ใต้หล้านี้จะมีเรื่องดีอย่างนั้นเสียที่ไหน!
ในอดีตด้วยกลัวว่านางจะแทรกแซงการปกครอง พวกเขาต่างคิดหาสารพัดวิธีขัดขวางไม่ให้นางกลับเมืองเจี้ยนคัง บัดนี้เมื่อเจอปัญหาที่แก้ไขไม่ได้ กลับมาทำท่าอ้อนวอนขอความเมตตาเสียอย่างนั้น คิดจะให้นางไปเจรจากับเซียวหวน ในเมืองเจี้ยนคังนี้มีผู้ใดบ้างที่ไม่รู้ว่าพวกเขาสามีภรรยาขาดความปรองดอง แยกกันอยู่มานานแล้ว
ก่อนหน้านี้ยังมีข่าวลือออกมามิใช่หรือว่าเซียวหวนปราบหนานจ้าวและพากงจู่ที่ได้ชื่อว่าเป็นสาวงามอันดับหนึ่งของหนานจ้าวกลับเจี้ยนคังมาด้วย แล้วให้สาวงามนางนั้นพักอยู่ในเรือนพักตากอากาศของมารดาสกุลเซียว ตั้งใจจะหย่าภรรยาและแต่งงานใหม่ จะว่าไปข่าวนี้ก็เป็นเฝิงไทเฮาเองด้วยซ้ำที่ตั้งใจส่งคนมาบอกนาง ด้วยคิดจะเยาะหยันนาง
ซย่าโหวอวี๋พูดกับสือเน่อ “ไม่ต้องไปสนใจนาง! ต่อให้โอรสสวรรค์ถูกปลด แล้วเกี่ยวอันใดกับข้า” ญาติสนิทที่สุดของนางล้วนไม่อยู่บนโลกนี้แล้ว ยังต้องสนใจว่าผู้ใดได้เป็นฮ่องเต้อีกทำไมกัน ดังนั้นนางจึงเอ่ยว่า “ไม่ว่าข้าจะเป็นภรรยาเอกของทายาทสายตรงสกุลเซียวหรือไม่ เซียวหวนก็ไม่มีทางสร้างความลำบากใจให้ภรรยาร่วมผูกผม ของตนเองหรอก ถึงอย่างไรเขาก็ยังต้องการชื่อเสียงและหน้าตาอยู่”
สือเน่อยิ้มจนดวงตาโค้งลง นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มดูคล้ายผืนฟ้ายามค่ำคืนกลางฤดูร้อน ประดุจมีดวงดาราเต็มท้องฟ้าอยู่ในดวงตาเขา “จ่างกงจู่วางใจเถอะพ่ะย่ะค่ะ!” เขาให้คำสัญญา “ต่อให้ท่านหย่ากับต้าซือหม่า กองกำลังห้าพันของพวกเราก็หาใช่ของประดับเพื่อความสวยงามเท่านั้น”
ซย่าโหวอวี๋ยิ้มน้อยๆ อดลูบหน้าผากแล้วทอดถอนใจไม่ได้ ทาสชาวเจี๋ยตัวเล็กๆ ที่เก็บกลับมาในอดีต พริบตาเดียวก็เติบโตเป็นบุรุษรูปงามที่มีความรับผิดชอบแล้ว น่าเสียดายที่นางตัดสินใจแล้วว่าจะใช้ชีวิตที่เหลืออย่างสันโดษ อยู่ให้ห่างจากการเมือง ไม่คิดยุ่งเกี่ยวกับโลกภายนอก สือเน่อวิชายุทธ์ล้ำเลิศ หากให้เขาติดตามนางไป ความสามารถของเขาคงมีแต่จะถูกกลบฝัง
ซย่าโหวอวี๋อดพูดไม่ได้ “ให้ข้าส่งเจ้าเข้ากองทัพดีกว่ากระมัง”
สือเน่อมองนางอย่างตะลึงงัน ดวงตาค่อยๆ เผยความตื่นกลัว
“ไม่! ข้าไม่ไป!” เขาเหมือนเด็กที่ดูกระวนกระวาย ยื่นมือออกไปหมายจะจับชายเสื้อของซย่าโหวอวี๋ แต่พอมือยื่นไปได้ครึ่งหนึ่งแล้วก็จำต้องหดกลับไปคล้ายเพิ่งนึกอะไรขึ้นได้ เปลือกตาหลุบลง ไม่รู้ว่ากลัวจะเห็นสีหน้าของซย่าโหวอวี๋หรือว่าไม่อยากให้ซย่าโหวอวี๋เห็นแววตาเขากันแน่
“ท่านอย่าส่งข้าไปเลยนะ ข้าอยากอยู่ข้างกายท่าน ต้าซือหม่า…ข้าไม่สนว่าต้องไปอยู่ใต้บังคับบัญชาใคร แต่การเลื่อนขั้นทางทหารล้วนต้องผ่านเขาทั้งสิ้น ข้าไม่อยากอ่อนข้อให้เขา…ข้าถือเป็นคนของจ่างกงจู่”
ซย่าโหวอวี๋ถอนหายใจ นางลูบศีรษะเขาเหมือนสมัยที่เขาเป็นเด็ก แต่กลับพบว่าตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ที่เขาสูงกว่านางครึ่งช่วงศีรษะแล้ว ทว่าตัวสูงขนาดนี้แล้วนิสัยก็ยังคงเป็นเด็ก บุรุษต้องสร้างผลงานอันยิ่งใหญ่ จะทำตามใจตนเองเพราะความขัดแย้งระหว่างนางกับเซียวหวนได้อย่างไร
นางกำลังจะโน้มน้าวเขาอีกสองสามคำ อาห่าวก็วิ่งตึงๆๆ เข้ามาเสียก่อน เอ่ยด้วยใบหน้าไร้สีเลือด “จ่าง…จ่างกงจู่ ต้าซือหม่า…ต้าซือหม่ามาเพคะ!”
ซย่าโหวอวี๋กับสือเน่อหันไปมองอาห่าวพร้อมกันอย่างตกตะลึง อาห่าวอดกลืนน้ำลายด้วยความประหม่าไม่ได้
ตั้งแต่ซย่าโหวอวี๋หาข้ออ้างย้ายออกมาอยู่ที่ไร่ชานเมือง แม้ทุกครั้งที่มีงานเซ่นไหว้บรรพบุรุษ งานแต่งงานหรืองานศพ เซียวหวนจะส่งเซียวสิ่งน้องชายมารับนางกลับบ้านไปเป็นผู้ดูแลงาน ยามอยู่ต่อหน้าคนอื่นเขาก็มีท่าทางเคารพและให้เกียรตินางอย่างมาก ทว่าลับหลังผู้คนพวกเขากลับไม่ได้สนทนากันแม้แต่คำเดียวมาสองสามปีแล้ว
ซย่าโหวอวี๋มุ่นคิ้ว คิดถึงเจี้ยนผิงฮูหยินที่เพิ่งกลับไปเมื่อครู่นี้แล้วก็รู้สึกไม่สบายใจเท่าไรนัก นางรู้สึกว่ามีเรื่องบางอย่างที่ตนเองละเลยไป เพียงแต่นางยังคิดไม่ออกในชั่วเวลาสั้นๆ จึงได้แต่สั่งอาห่าวให้เชิญเซียวหวนไปนั่งในโถงข้างและยกน้ำชา
น้ำเสียงสุขุมมั่นคงของนางทำให้อาห่าวกับสือเน่อสงบลง ทั้งสองรับคำพร้อมกัน ก่อนห้อมล้อมซย่าโหวอวี๋ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและแต่งตัวใหม่
คิดไม่ถึงว่าออกจากโถงฝึกยุทธ์แล้วพวกเขาจะเผชิญหน้ากับเซียวหวนทันที
เขาสวมเสื้อแขนกว้างสีเขียวไผ่ปักลายจางๆ ศีรษะโพกผ้าสีขาว มือถือร่มกระดาษเคลือบน้ำมันต้นถง คิ้วงามสง่า ท่วงทีผึ่งผาย เดินตรงเข้ามาหาพวกเขาอย่างผ่อนคลายคล้ายเดินเล่นอยู่ในลานบ้านตนเอง ดูไม่รีบไม่ร้อน แต่ผู้ติดตามตัวสูงใหญ่เจ็ดแปดคนข้างหลังกลับต้องวิ่งเหยาะๆ จึงจะตามเขาได้ทัน เห็นได้ชัดว่าเขาเดินเร็วเพียงใด
“จ่างกงจู่!” เขาหยุดยืนอยู่ใต้ชายคา หุบร่มและทักทายซย่าโหวอวี๋อย่างนอบน้อม ดวงตาดำขลับหยุดอยู่ที่ชุดชาวหูของนางหลายอึดใจ สุดท้ายจึงเลื่อนไปยังสือเน่อ
ซย่าโหวอวี๋อดบ่นในใจไม่ได้ นางรู้อยู่แล้วเชียว เซียวหวนเห็นนางทีไร ไม่มีสักครั้งที่จะไม่จับผิด หรือไม่แสดงท่าทีรังเกียจนาง ยังดีที่พวกเขาแยกกันอยู่ หาไม่แล้วเรื่องหยุมหยิมพวกนี้ต้องทำให้นางเสียสติเป็นแน่
สือเน่อกลับเปลี่ยนท่าทีจากไม่พอใจก่อนหน้านี้เป็นระบายยิ้มน้อยๆ เขาก้าวฉับๆ เข้าไปคารวะเซียวหวนอย่างมีมารยาทและไม่เสียกิริยา
เจ้าเด็กคนนี้! ซย่าโหวอวี๋เหลือบมองสือเน่อแวบหนึ่ง
สายตาของเซียวหวนทอประกายเล็กน้อย ดูลุ่มลึกยิ่งขึ้นขณะพูดกับซย่าโหวอวี๋ “ตอนนี้อาเฮ่อจะสูงเท่าข้าอยู่แล้ว ทำพิธีสวมหมวก* ได้แล้วกระมัง เอาแต่อยู่ในบ้านเช่นนี้ไม่ดีเลย อีกไม่กี่วันข้าต้องไปกูซู ให้เขาตามข้าไปด้วยเถอะ!”
สือเน่อโมโหยิ่งนัก ‘อาเฮ่อ’ เป็นชื่อที่เขาใช้สมัยเป็นทาสชาวเจี๋ย หลังจากซย่าโหวอวี๋ประทานชื่อ ‘สือเน่อ’ ให้เขาแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดเรียกเขาว่า ‘อาเฮ่อ’ อีก เห็นชัดว่าเซียวหวนมีเจตนาไม่ดี ต้องการดูหมิ่นเขา
ซย่าโหวอวี๋กลับขมวดคิ้วอุทานเบาๆ ด้วยความตกใจ “ท่านจะยกทัพขึ้นเหนือหรือ”
สือเน่อได้ยินเช่นนั้นก็มองเซียวหวนอย่างตื่นตระหนกเช่นกัน
สีหน้าของเซียวหวนพลันแปลกไปเล็กน้อย เขาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “กำหนดวันแล้ว อาจไปครึ่งปีถึงหนึ่งปี ข้าตั้งใจมาบอกเจ้า” รายละเอียดเขาไม่ได้บอก ซย่าโหวอวี๋ก็ไม่ได้ถาม
แต่เรื่องที่เมื่อครู่คิดไม่ออก บัดนี้นางกลับกระจ่างแจ้งแล้ว ซย่าโหวอวี๋ได้รับความโปรดปรานจากอู่จงฮ่องเต้ตั้งแต่เล็ก อู่จงฮ่องเต้อุ้มนางไว้บนตักขณะอ่านหนังสือกราบทูล ให้ถือตราแผ่นดินประทับไปทั่วตั้งแต่อายุสองสามขวบ โตขึ้นยังเคยรักษาการแผ่นดินแทนเซี่ยวจงฮ่องเต้ผู้เป็นน้องชายก่อนที่อีกฝ่ายจะเสียชีวิต หากนางรับปากเฝิงไทเฮาช่วยออกหน้าพูดแทนโอรสสวรรค์จริง ด้วยอำนาจของเซียวหวนในวันนี้ แม้ไม่ถึงขั้นสั่นคลอนรากฐานของเขา แต่ก็ทำให้สถานการณ์ยุ่งยากขึ้นมากแน่ จนอาจส่งผลให้การยกทัพขึ้นเหนือของเขาต้องเลื่อนออกไป
การรวมแผ่นดินเหนือใต้เข้าด้วยกันถือเป็นความปรารถนาอันสูงสุดในชีวิตของเซียวหวน ผู้ใดคิดขวางทางเขาล้วนต้องถูกเขาดีดกระเด็นออกไปโดยไม่ลังเล
เฝิงไทเฮากับโอรสสวรรค์ต้องคัดค้านการยกทัพขึ้นเหนือของเซียวหวนเป็นแน่ เซียวหวนถึงได้เกิดความคิดที่จะปลดฮ่องเต้ตอนที่สงครามทางเหนือยังไม่รู้ผลแพ้ชนะ
ทว่าบางทีระหว่างการทำความปรารถนาของตนเองให้เป็นจริง เขาอาจเกิดความมักใหญ่ใฝ่สูงจนคิดจะตั้งตนเป็นกษัตริย์เสียเองก็เป็นได้ ที่ว่า ‘มาบอกนาง’ เกรงว่าคงเป็นการขอบคุณนางทางอ้อมที่ไม่แทรกแซงเรื่องนี้มากกว่า!
ในเมื่อทุกคนล้วนเป็นคนฉลาด แล้วเหตุใดต้องเล่นละครกันด้วยเล่า
ซย่าโหวอวี๋เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดชาวหูแขนเล็กปักลายดอกอวี้จินสีแดง แล้วเชิญเซียวหวนไปดื่มน้ำชาที่ศาลาอี้ชุ่ย
ศาลาอี้ชุ่ยอยู่ตรงเชิงเขาของภูเขาด้านหลัง ตั้งอยู่บนหน้าผาที่ยื่นออกไป สามารถมองเห็นอาณาบริเวณได้ทั้งหมด ฤดูร้อนมีลมเย็นฤดูหนาวมีหิมะขาวบริสุทธิ์ เป็นหนึ่งในสถานที่เพียงไม่กี่แห่งในไร่ชานเมืองที่มีทิวทัศน์งดงามที่สุด แต่กลับต้องไต่บันไดหินเล็กๆ สองข้างทางขึ้นไป ตรงบันไดมีต้นไม้ช่วยบดบังแสงแดด ยามแสงแดดเจิดจ้าย่อมเป็นสถานที่ที่ดีแห่งหนึ่ง ทว่าในช่วงที่ฝนตกเช่นนี้กลับเปียกลื่นเดินลำบาก แม้แต่ข้ารับใช้ของนางยังไม่ขึ้นไป
ซย่าโหวอวี๋ต้องการเชื้อเชิญเซียวหวนไปดื่มน้ำชาเสียที่ใดเล่า เห็นได้ชัดว่าต้องการไล่แขก!
แต่เซียวหวนกลับรับคำด้วยความยินดีคล้ายไม่ตระหนัก ซย่าโหวอวี๋จึงได้แต่ไปศาลาอี้ชุ่ยเป็นเพื่อนเขา
ป่าเขาในช่วงที่ฝนตกหนักเต็มไปด้วยไอน้ำขมุกขมัว อากาศสดชื่น เซียวหวนกับซย่าโหวอวี๋ไม่มีอะไรจะพูดคุยกัน หลังจากดื่มน้ำชาไปถ้วยหนึ่งเขาก็กล่าวลา
ซย่าโหวอวี๋เท้าแขนนั่งอยู่หลังโต๊ะหิน มองแผ่นหลังของเซียวหวนที่ค่อยๆ ห่างออกไป
เขาจะปลดฮ่องเต้ แต่นางกลับเป็นจ่างกงจู่ พวกเขาสามีภรรยาเดินมาถึงขั้นนี้จะพูดอะไรก็ไม่มีความหมายอีกแล้ว! แค่รอให้เขากลับจากสงครามทางเหนือ…ไม่ว่าเรื่องโอรสสวรรค์หรือกงจู่จากหนานจ้าว ระหว่างพวกเขาจะต้องมีบทสรุป
“จ่างกงจู่!” อาเหลียงที่ยืนอยู่ข้างหลังนางหวีดร้องเสียงแหลมด้วยความตื่นตระหนก
ซย่าโหวอวี๋หันกลับไป เห็นก้อนหินและดินโคลนจำนวนมากไหลลงมาจากยอดเขาโถมซัดเข้ามาในศาลาอี้ชุ่ยเหมือนน้ำบ่า…