ซย่าโหวอวี๋รู้สึกสับสน เป็นครั้งแรกที่นางไม่รู้ควรทำเช่นไรดี เช่นนั้นก็พักเรื่องเขาไว้ก่อนชั่วคราวแล้วกัน นางลอบคิดในใจ รอให้นางจัดการกับปัญหาตรงหน้าเรียบร้อยก่อนค่อยว่ากัน!
เมื่อตัดสินใจได้แล้ว ซย่าโหวอวี๋ก็รู้สึกว่าร่างกายและจิตใจผ่อนคลายขึ้นมาก เหมือนจิตวิญญาณกลับคืนมา นางพูดกับชุยซื่ออย่างกระปรี้กระเปร่า “น้าสะใภ้ไปรอข้าอยู่ที่ตำหนักข้างเถิด! หากฟั่นฮูหยินกับพระชายามาแล้วจะได้ช่วยข้าต้อนรับดูแล ทางนี้ข้ามีนางกำนัลปรนนิบัติก็พอแล้ว”
ชุยซื่อคิดดูแล้วก็รับคำอย่างรวดเร็ว “เช่นนั้นก็ดี! พระชายายังคุยง่าย แต่ฟั่นซื่อกลับรับมือด้วยไม่ง่ายนัก หากไม่เห็นพวกเราอยู่เลยสักคนคงจะบ่นยืดยาวไม่จบไม่สิ้นอีก!”
ฟั่นซื่อใช่รับมือง่ายเสียที่ใดกัน เห็นชัดว่าเป็นเพราะอำนาจราชวงศ์ตกต่ำ เพราะหลูยวน ฟั่นซื่อจึงไม่เห็นโอรสสวรรค์กับนางอยู่ในสายตา…ซย่าโหวอวี๋เก็บความรู้สึกหดหู่อย่างรวดเร็ว นางยิ้มพูดคุยกับชุยซื่อและตู้ฮุ่ยอย่างอ่อนโยนขณะเดินกลับตำหนักเฟิ่งหยาง
ความร้อนเย็นของน้ำที่อยู่ในระดับเหมาะสมช่วยบรรเทาความประหม่าที่หลงเหลืออยู่ของซย่าโหวอวี๋ นางวักน้ำใส่ใบหน้าตนเองแล้วรู้สึกอารมณ์ดีขึ้น ก่อนจะนั่งพิงถังไม้เงียบๆ พลางครุ่นคิดว่าประเดี๋ยวจะทำเช่นไรดี หลูยวนจึงจะไม่เป็นฝ่ายได้เปรียบ
นางกำนัลรายงานผ่านฉากบังลมปักลายว่าฟั่นซื่อกับหลิ่วซื่อเข้าวังมาแล้ว ยามนี้นั่งรออยู่ในตำหนักข้าง มีชุยซื่อคอยดื่มชาเป็นเพื่อน
ซย่าโหวอวี๋ลุกขึ้นแล้วให้นางกำนัลเช็ดตัวให้แห้ง หวีผม แต่งหน้า เปลี่ยนเสื้อผ้าและเครื่องประดับ ก่อนจะเดินไปที่ตำหนักข้าง
ฟั่นซื่อเป็นสตรีรูปร่างอรชรและสูงโปร่ง ผิวขาวราวน้ำค้างแข็ง ดูนุ่มเนียนปานหิมะ ดวงตารูปเมล็ดซิ่ง*กลมโต จมูกสูงโด่ง ริมฝีปากแดงชุ่มชื้น เมื่อเทียบเครื่องหน้ากับสตรีทั่วไปแล้วกลับดูเด่นชัดกว่า เหมือนกุหลาบป่าดอกหนึ่ง งดงามกระชากวิญญาณ มีความสวยไม่ธรรมดา
ด้วยเหตุนี้นางจึงเคยถูกลือว่ามีสายเลือดของชาวเซียนเปย ไม่ใช่บุตรีสายตรงสกุลฟั่น แน่นอนว่าข่าวลือเหล่านี้ล้วนถูกหลูยวนกดเอาไว้ ทั้งสองรักใคร่ปรองดองกันมาตลอด โดยให้กำเนิดบุตรชายห้าคนและบุตรสาวสองคน
ซย่าโหวอวี๋พินิจพิจารณาฟั่นซื่ออย่างละเอียด ยิ่งมองยิ่งรู้สึกว่านางไม่ได้มีสายเลือดบริสุทธิ์ของชาวฮั่น
ฟั่นซื่อดูสุขุมมั่นคงอย่างมาก เขาคารวะซย่าโหวอวี๋ด้วยความเยือกเย็น นางดูสูงสง่าผ่อนคลายเฉกเช่นสตรีสกุลสูงศักดิ์ที่ผ่านการต่อสู้ฟันฝ่าในเรือนหลังมามาก
เหมือนเช่นอาเฮ่อ สมองของซย่าโหวอวี๋ผุดความคิดนี้ขึ้นมา
นางอึ้งไปเล็กน้อย ใคร่ครวญให้ดีเวลานี้อาเฮ่อน่าจะยังเป็นเด็กน้อยอายุสิบขวบ ไม่รู้ว่าเขาไปตกระกำลำบากอยู่ที่ใด นางจะตามหาเขาล่วงหน้าดีหรือไม่
ความคิดนี้วูบขึ้นมาในหัวของซย่าโหวอวี๋เพียงครู่เดียวก็ถูกนางปฏิเสธ
อาเฮ่อปกปิดเรื่องในอดีตของตนเองอย่างมิดชิด นางคิดว่าเป็นเพราะเด็กเคยถูกทำร้ายมาก่อน จึงไม่อยากพูดถึงและไม่ได้ถามมาก บัดนี้มาย้อนคิดดู นางไม่รู้เลยว่าอาเฮ่อเป็นคนที่ไหน เวลานี้อยู่ที่ใด แล้วจะไปตามหาเขาได้อย่างไร เห็นทีนางคงได้แต่ใช้วิธีเดิมในการเก็บคนกลับมาอีกครั้งแล้ว!