ซย่าโหวอวี๋ยิ้มขื่น นางได้แต่ข่มความคิดในใจ เอ่ยทักทายกับฟั่นซื่อ “ฮูหยินเชิญนั่ง! ไม่ทราบว่าระยะนี้ฮูหยินแข็งแรงดีหรือไม่ แม่ทัพใหญ่สุขภาพเป็นเช่นไรบ้าง”
ฟั่นซื่อยิ้มตอบว่า “ดี” หว่างคิ้วฉายความเย็นชาและจองหองอยู่หลายส่วน
ซย่าโหวอวี๋ไม่ถือสา แทนที่จะบอกว่าฟั่นซื่อนิสัยไม่ดี มิสู้บอกว่าเป็นเพราะหลูยวนมีตำแหน่งสูงซึ่งเปี่ยมด้วยอำนาจ นางจึงถูกเอาอกเอาใจจนเสียนิสัย
ซย่าโหวอวี๋ยิ้มทักหลิ่วซื่อแล้ว ทุกคนก็นั่งลงตามลำดับศักดิ์
หลิ่วซื่อเป็นสตรีที่มีรูปโฉมธรรมดา แต่ชาติตระกูลกลับโดดเด่นอย่างมาก บรรพบุรุษที่เป็นขุนนางใหญ่ยศสองพันตั้น* ขึ้นไปยึดพื้นที่หลายหน้าในผังตระกูล บางทีอาจเป็นเพราะอย่างนี้ อู่หลิงอ๋องจึงเคารพและให้เกียรตินางอย่างมาก แต่กลับไม่ได้ให้ความสนิทสนม ปีที่สองหลังจากหลิ่วซื่อให้กำเนิดบุตรชายคนโตเขาก็เริ่มรับอนุ บัดนี้อนุและสาวใช้ห้องข้างในบ้านมีมากมายนับไม่ถ้วน บุตรชายและบุตรสาวที่เกิดจากอนุมีมากถึงเจ็ดแปดคน
นางตอบรับซย่าโหวอวี๋อย่างนอบน้อม ทั้งเป็นฝ่ายถามถึงจุดประสงค์ที่ซย่าโหวอวี๋เชิญนางเข้าวังมา
เดิมทีนี่เป็นสิ่งที่ซย่าโหวอวี๋กับหลิ่วซื่อนัดแนะกันไว้ล่วงหน้า ทว่ายามนี้ซย่าโหวอวี๋กลับเปลี่ยนใจ นางไม่ได้หยั่งเชิงเจตนาของหลูยวนอย่างอ้อมค้อมเหมือนในความทรงจำ แต่พูดถึงการแต่งงานของโอรสสวรรค์โดยตรง “แม่ทัพใหญ่มีความดีความชอบในการปกป้องโอรสสวรรค์ อู่หลิงอ๋องเป็นน้องชายของฮ่องเต้พระองค์ก่อน นับเป็นอาของโอรสสวรรค์ ชุยฮูหยินยิ่งไม่ต้องพูดถึง เป็นน้าสะใภ้ของพวกเรา ข้าขบคิดดูแล้ว เรื่องนี้จำเป็นต้องเชิญทุกท่านเข้าวังมา ด้วยเรื่องโอรสสวรรค์แต่งพระชายาเกี่ยวพันถึงบ้านเมือง มิอาจสะเพร่าเลินเล่อ ข้าจึงตัดสินใจจัดงานเลี้ยงที่วังเสี่ยนหยางในวันเทศกาลซั่งซื่อ เชิญสตรีที่อายุเข้าเกณฑ์จากตระกูลต่างๆ มาร่วมงาน ถึงยามนั้นต้องขอให้ฮูหยินทั้งสามท่านช่วยดูด้วยว่าแม่นางจากตระกูลใดเหมาะสมที่สุด”
จะว่าไปเรื่องพวกนี้นางก็เรียนรู้มาจากหลูยวนทั้งสิ้น นางจะใช้หอกของศัตรูแทงโล่ของศัตรู* เชื่อว่าอีกไม่นานหลูยวนจะต้องเข้าใจอย่างถ่องแท้แน่
ฟั่นซื่ออึ้งไป นี่ใช่การหารือเสียที่ใด เห็นชัดว่าเป็นการแจ้งให้ทราบ…ไม่ว่าผู้อื่นจะเห็นด้วยหรือไม่ ถึงอย่างไรนางซย่าโหวอวี๋ก็ตัดสินใจไปแล้ว พวกเจ้าไม่มาก็คือไม่ให้หน้าข้า
ที่ผ่านมาจ่างกงจู่ไม่เคยเป็นเช่นนี้ อย่างมากนางก็ดูสีหน้าคน ทำอะไรมักอ้อมค้อมคลุมเครือ ตั้งแต่เมื่อไรกันที่นางแข็งกร้าวและตรงไปตรงมาเช่นนี้ ฟั่นซื่อขมวดคิ้ว เพ่งพินิจซย่าโหวอวี๋อย่างละเอียด
ซย่าโหวอวี๋สวมชุดกระโปรงลายหงส์กับนกเป็ดน้ำสีชาด เรือนผมดำขลับเกล้ามวยสูง ปิ่นรูปหงส์สีทองเปล่งประกายระยับ ปากหงส์คาบอัญมณีสีแดงเลือดห้อยย้อยอยู่ข้างใบหน้าที่ขาวกระจ่างดุจหิมะของนาง คิ้วยาวจรดจอนผม ตาหงส์วาวระยับสุกสว่างกว่าอัญมณีหลายส่วน ความอ่อนเยาว์ที่ยามปกติแม้จะปกปิดไว้ก็ปิดไม่มิด ยามนี้กลับหายไปไม่เหลือ สีหน้าน่ากลัว ท่วงทีน่าเกรงขาม นั่งอยู่ตรงนั้นอย่างผ่อนคลาย แต่กลับเหมือนกระบี่ที่ซ่อนอยู่ในฝัก หากตกลงกันไม่ได้ กระบี่ก็จะถูกชักออกมาเผยความคมกริบ
ฟั่นซื่อตกใจจนสะดุ้ง นางเคยเห็นความเชื่อมั่นและความหยิ่งทะนงในตนเองเช่นนี้จากผู้ที่มีอำนาจแข็งแกร่งเท่านั้น ซย่าโหวอวี๋เป็นเพียงแม่นางน้อยคนหนึ่งอยู่แท้ๆ ไม่รู้ไปเอาความมั่นใจมาจากที่ใด
เมื่อไม่กี่วันก่อน คำพูดและการกระทำของซย่าโหวอวี๋ยังเจือความขลาดเขินอยู่หลายส่วน ไฉนพริบตาเดียวจึงเปลี่ยนไปมากเพียงนี้
หัวสมองของฟั่นซื่อผุดใบหน้าของเซียวหวนที่ดูเหมือนอ่อนโยนแต่แววตากลับสะท้อนความเย็นชา
ไม่ใช่เขา!
ตอนนี้เซียวหวนยังเอาตัวไม่รอดเลยด้วยซ้ำ ไหนเลยจะมีเวลามายุ่งกับเรื่องของซย่าโหวอวี๋ หรือระหว่างนี้เกิดเรื่องอะไรที่พวกเขาไม่รู้ หรือว่ามีคนให้ความมั่นใจอะไรกับนาง
ฟั่นซื่อเอ่ยด้วยความตกใจว่า “เทศกาลซั่งซื่อหรือ จะฉุกละหุกเกินไปหน่อยหรือไม่ แม่นางหลายคนที่อายุเข้าเกณฑ์และคู่ควรกับโอรสสวรรค์ล้วนไม่อยู่ในเมืองเจี้ยนคัง” นางพูดพลางโค้งมุมปากเล็กน้อย เอียงศีรษะคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม จ้องตาซย่าโหวอวี๋ไม่วางตา “หรือว่าจ่างกงจู่มีตัวเลือกอยู่แล้ว แค่อยากให้โอรสสวรรค์ทอดพระเนตรเท่านั้น?”