ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน อริร้ายหวนรัก บทที่ 2
หลูยวนสูดหายใจเย็นเยียบเข้าไปเฮือกหนึ่ง ได้ยินซย่าโหวอวี๋เอ่ยว่า “หลายวันก่อนต้าจ่างกงจู่มาหาข้า บอกให้ข้ามอบเงินให้นางหนึ่งแสนก้วน* ข้าถึงได้รู้ว่าต้าจ่างกงจู่ต้องการทำหนังสือแบบคัดอักษร หลายปีมานี้คลังแผ่นดินว่างเปล่า เบี้ยหวัดและรายรับของข้าล้วนนำมาเป็นค่าใช้จ่ายของสำนักพระราชวัง ไหนเลยจะมีเงินให้ต้าจ่างกงจู่ เดาว่าในใจต้าจ่างกงจู่เองก็รู้ บันดาลโทสะไปรอบหนึ่งและไม่พูดถึงเรื่องเงินอีก แต่ให้ข้าหาคนไปช่วยเหลือนาง ข้ากำลังกลุ้มใจไม่รู้จะส่งผู้ใดไปดูพอดี แม่ทัพใหญ่ก็แนะนำคุณหนูสี่ให้ข้ารู้จัก นี่นับเป็นวาสนาโดยแท้! จะว่าไป ญาติผู้พี่ของข้าคนนั้นแม้จะไม่เอาไหน แต่กลับกตัญญูรู้คุณเป็นที่หนึ่ง ต้าจ่างกงจู่หนักใจกับการแต่งงานของเขามาก หากคุณหนูสี่สามารถไปช่วยต้าจ่างกงจู่ได้ ไม่แน่อาจได้รับความชื่นชอบจากต้าจ่างกงจู่ ขอราชโองการให้คุณหนูสี่อยู่ต่อ นี่นับเป็นเรื่องที่ดีเรื่องหนึ่ง!”
ดีกับผีน่ะสิ!
ช่วยผู้อาวุโสบ้านอื่นคัดอักษร แต่กลับหมั้นหมายกับบุตรชายบ้านนั้น เรื่องนี้หากแพร่ออกไป ผู้อื่นยังคิดว่าคุณหนูสี่ขาดคุณธรรมจรรยา ยั่วยวนบุตรชายบ้านคนอื่น ชื่อเสียงทั้งชีวิตย่อมถูกทำลายป่นปี้!
ซย่าโหวอวี๋คิดจะทำอะไรกันแน่ หลูยวนมองซย่าโหวอวี๋ด้วยแววตาเยียบเย็น
ซย่าโหวอวี๋ไม่แสดงความอ่อนแอแม้แต่น้อย นางจ้องหลูยวนกลับด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ บรรยากาศค่อยๆ เปลี่ยนเป็นตึงเครียด
ซย่าโหวโหย่วเต้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เขากลัวว่าพี่สาวจะเสียเปรียบ จึงก้าวขึ้นมาหลายก้าวและยืนข้างๆ ซย่าโหวอวี๋ตามสัญชาตญาณ
คุณหนูสี่สกุลหลูก้มหน้า ท่าทางกระอักกระอ่วนใจ
ฟั่นซื่อขมวดคิ้ว นางดูแคลนซย่าโหวโหย่วเต้าอย่างมาก รู้สึกว่าอีกฝ่ายเป็นถึงโอรสสวรรค์กลับเอาแต่หลบอยู่ข้างหลังซย่าโหวอวี๋ นางยังดูถูกซย่าโหวอวี๋ด้วย รู้สึกว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงสตรีผู้หนึ่ง แต่กลับชอบออกหน้าแก่งแย่งชิงดีกับบุรุษ ฟั่นซื่อโอบไหล่คุณหนูสี่สกุลหลูอย่างปลอบโยน
ชุยซื่อขมวดคิ้วเช่นกัน นางรู้สึกว่าซย่าโหวอวี๋ทำเกินไปหน่อย ไม่ว่าวันหน้าคุณหนูสี่สกุลหลูจะแต่งงานกับผู้ใด ซย่าโหวอวี๋ในฐานะจ่างกงจู่พูดเช่นนี้กับคุณหนูสี่ ย่อมเป็นการทำลายชื่อเสียงของคุณหนูสี่ นอกจากนี้ซย่าโหวอวี๋ยังไม่ควรขัดแย้งกับหลูยวนด้วยเรื่องเช่นนี้
ชุยซื่อรีบพูด “ไม่ทราบแม่ทัพใหญ่ตามจ่างกงจู่มาด้วยเรื่องใดกัน ยามนี้พระอาทิตย์อยู่กลางศีรษะ ยืนคุยกันตรงนี้จะร้อนเอาได้ เชิญแม่ทัพใหญ่กับจ่างกงจู่เข้าไปพูดคุยในศาลาด้านข้างไม่ดีกว่าหรือ” คำพูดของชุยซื่อทำลายความเงียบงันระหว่างหลูยวนกับซย่าโหวอวี๋
ใบหน้าหลูยวนเต็มไปด้วยความถมึงทึง ที่แท้ความสุขุม ความกระหยิ่มใจและท่าทีมีแผนการที่ซย่าโหวอวี๋แสดงออกมาก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเพียงการเล่นละครทั้งสิ้น! นางขุดหลุมรอเขาอยู่ตรงนี้ล่วงหน้าแล้ว!
ทว่านางรู้แผนการของเขาได้อย่างไร หรือข้างกายเขามีคนของนาง หลูยวนครุ่นคิด ในใจราวกับถูกราดด้วยน้ำมัน ไฟโทสะลุกพรึ่บขึ้นมาทันใด
ซย่าโหวอวี๋กล้าปั่นหัวเขา! นางไม่กลัวเขาจะปลดจ่างกงจู่อย่างนางออกจากตำแหน่งรึ
หว่างคิ้วของหลูยวนสาดกลิ่นอายสังหาร สีหน้าเย็นชาเคร่งขรึม “ไม่รบกวนจ่างกงจู่ดีกว่า เกรงว่าหลานสาวกระหม่อมผู้นี้คงไม่มีเวลาช่วยอวี๋เหยาต้าจ่างกงจู่ คุณหนูสี่นิสัยใจคอกว้างขวาง กระทำสิ่งใดล้วนรอบคอบ อ่อนโยนว่าง่าย ท่านย่าของกระหม่อมขาดนางไม่ได้แม้แต่ชั่วขณะเดียว”
เขาต้องการกอบกู้ชื่อเสียงให้คุณหนูสี่สกุลหลู!
ซย่าโหวโหย่วเต้าตกใจจนตัวสั่น แต่เขากลับไม่ได้ถอยหลัง ได้แต่ยืนเคียงไหล่กับพี่สาวอย่างกล้าๆ กลัวๆ คุณหนูสี่สกุลหลูเหลือบมองซย่าโหวโหย่วเต้าอย่างรวดเร็วแวบหนึ่ง
หากเป็นชาติที่แล้ว ต่อให้ซย่าโหวอวี๋จะขัดแย้งกับหลูยวนก็ต้องใคร่ครวญให้ดีก่อน แต่ประสบการณ์ชาติที่แล้วบอกกับนางว่า คนที่ไม่ได้อยู่บนทางเส้นเดียวกันก็คือไม่ได้อยู่บนทางเส้นเดียวกัน ความอดทนของนางมีแต่จะทำให้ผู้อื่นคิดว่านางอ่อนแอสามารถรังแกได้ แทนที่จะใช้ชีวิตอย่างหลบซ่อนขลาดกลัว มิสู้เปิดเผยชัดเจนไปเลยเสียดีกว่า อยากทำอะไรก็ทำ!
ซย่าโหวอวี๋จับมือซย่าโหวโหย่วเต้าอย่างปลอบโยน พลางยิ้มเอ่ยว่า “แม่ทัพใหญ่พูดผิดแล้ว! ท่านเป็นผู้มีพระคุณของข้ากับน้องชาย หากในอดีตไม่มีท่าน ย่อมไม่มีพวกเราสองพี่น้อง พวกเราจดจำได้เสมอ! เพียงแต่สองปีก่อนพวกเราอายุน้อยเกินไป ยังไม่รู้ความ ทำให้แม่ทัพใหญ่ต้องลำบาก หากสามารถพระราชทานสมรสให้สกุลหลูได้ สร้างชื่อเสียงให้สกุลหลู ย่อมเป็นเรื่องที่สมควร!”
ความหมายที่แฝงอยู่คือ นางไม่ได้พระราชทานสมรสให้คุณหนูสี่สกุลหลูกับคุณชายบ้านอวี๋เหยาต้าจ่างกงจู่ตรงๆ ก็นับว่าดีแล้ว!
หลูยวนโมโหจนหัวเราะออกมา “เรื่องนี้เกรงว่าคงต้องเป็นโอรสสวรรค์ ไทเฮาหรือฮองเฮาจึงจะมีอำนาจกระทำได้ หรือจ่างกงจู่ประสงค์จะก้าวก่าย?”
ซย่าโหวอวี๋แย้มยิ้ม “ท่านย่ากับเสด็จแม่ของข้าต่างก็สวรรคตไปแล้ว โอรสสวรรค์ก็เป็นน้องชายข้า ข้าที่เป็นพี่สาวช่วยน้องชายดูแลเรื่องในตำหนักใน เหตุใดจะกระทำไม่ได้เล่า ทุกคนร้อนใจเช่นนี้ หรือคิดว่าข้าที่เป็นจ่างกงจู่ไม่คู่ควรจะจัดการเรื่องนี้”
ซย่าโหวโหย่วเต้าได้ยินพี่สาวพูดถึงเขา แม้จะกลัวว่าหลูยวนจะทะเลาะกับซย่าโหวอวี๋ แต่ยังคงร้อนใจชิงพูดตัดหน้าหลูยวน “ภายนอกพี่สาวมีฐานะเป็นจ่างกงจู่ แต่ในใจข้ากลับเป็นสายเลือดใกล้ชิดที่เกิดจากมารดาคนเดียวกัน เรื่องของข้าย่อมเป็นเรื่องของพี่สาว นางย่อมสามารถตัดสินใจได้อยู่แล้ว!” พูดจบ เขากลัวหลูยวนจะกัดเรื่องนี้ไม่ปล่อยจึงพูดต่อ “เหมือนเช่นเรื่องในบ้านของแม่ทัพใหญ่ ล้วนให้ฟั่นฮูหยินเป็นผู้ตัดสินใจมิใช่หรือ แม่ทัพใหญ่จะตำหนิพี่สาวข้าด้วยเรื่องนี้ไม่ได้! ข้ายินดีให้นางยุ่งเรื่องของข้าเอง!”
ซย่าโหวโหย่วเต้าพูดถึงขั้นนี้แล้ว เว้นเสียแต่ว่าหลูยวนอยากจะหักหน้าเขา มิเช่นนั้นก็ได้แต่ยุติเรื่องนี้และเงียบไป
ฟั่นซื่อกลับคิดมากกว่าหลูยวนมากนัก นางลอบดึงแขนเสื้อหลูยวน
หลูยวนกุมทหารจำนวนมากอยู่ในมือ รู้สึกว่าหลายปีมานี้ตนใจกว้างกับซย่าโหวอวี๋พี่น้องมากเกินไป จนสองพี่น้องลืมไปแล้วว่าผู้ใดกันที่รักษาลาภยศสรรเสริญไว้ให้พวกเขา ในเมื่อทุกคนแสดงจุดยืนกันชัดเจนแล้วในวันนี้ การบีบบังคับทางวาจาย่อมไม่มีความหมายอะไร เขาจะหาโอกาสสั่งสอนพี่น้องสองคนนี้ให้ได้ เมื่อพวกเขารู้ถึงความร้ายกาจแล้วย่อมจะเชื่อฟังเอง
ชุยซื่อตกใจจนเหงื่อเย็นท่วมศีรษะนานแล้ว นางเห็นเช่นนั้นก็รีบเข้ามาประนีประนอม ก่อนอื่นตำหนิซย่าโหวอวี๋ว่าไม่รู้ความ ทั้งยังบอกว่าตนเองไม่ทันได้ห้ามปรามซย่าโหวอวี๋ หลังจากนั้นจึงเชิญฟั่นซื่อกับหลูยวนกลับไปดื่มน้ำชาและกินขนมในศาลาอีกครั้ง
โปรดติดตามตอนต่อไป