หลูไหวอ่อนกว่าหลูยวนสามปี เขาสวมชุดคลุมแขนกว้างลายหัวสัตว์สีแดงเลือดนก พวกเขาสองพี่น้องหน้าตาคล้ายคลึงกันทีเดียว แต่หลูไหวกลับดูแลร่างกายได้ไม่ดีเท่าหลูยวน รูปร่างอ้วนท้วน ไม่เพียงหน้าท้องยื่นเหมือนคนท้องหกเดือน เวลาเดินตามหลังหลูยวนยังดูท่าทางหยาบกระด้างอย่างมิอาจแก้ไขได้ หากไม่เพราะเขาติดตราของผู้ว่าการมณฑลขั้นสี่ เกรงว่าผู้คนคงเข้าใจผิดคิดว่าเขาเป็นพ่อค้าจากที่ใดเป็นแน่
หลูยวนคารวะซย่าโหวโหย่วเต้าด้วยท่วงท่าสง่างาม เขาผงกศีรษะให้ซย่าโหวอวี๋ ซึ่งถือว่าปฏิบัติตามธรรมเนียมมารยาทแล้ว ดีร้ายอย่างไรก็ดูไม่ขัดตา แต่หลูไหวกลับประสานมือให้ซย่าโหวโหย่วเต้าเพียงลวกๆ เท่านั้น จากนั้นยิ้มพูดกับซย่าโหวโหย่วเต้าอย่างไร้มารยาทอย่างมาก
“อากาศร้อนถึงเพียงนี้ โอรสสวรรค์ยังจะสวมเสื้อหนังสัตว์อีก เช่นนี้ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ ข้าว่านับแต่พรุ่งนี้ไป ให้ข้าสอนทักษะการขี่ม้ายิงธนูให้กับโอรสสวรรค์ดีกว่า หากให้โอรสสวรรค์ป่วยอยู่เช่นนี้ตลอด ถึงอย่างไรย่อมมิใช่เรื่องดี”
ซย่าโหวโหย่วเต้าโมโหจนใบหน้าแดง
ซย่าโหวอวี๋กลับมิอาจปล่อยให้เรื่องราวต้องซ้ำรอย นางเอ่ยปากหยุดคำพูดของซย่าโหวโหย่วเต้า “ใต้เท้าทั้งสอง เชิญนั่ง งานเลี้ยงกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว”
หลูยวนผงกศีรษะ เขาไปนั่งตรงที่นั่งฝั่งขวามือของซย่าโหวโหย่วเต้า หลูไหวเห็นเช่นนั้นก็นั่งลงตามหลูยวน ฟั่นซื่อพาบุตรสองคนไปคารวะซย่าโหวอวี๋พี่น้อง
ซย่าโหวโหย่วเต้าโมโหยิ่ง เขาจึงเอาอย่างหลูยวนด้วยการพยักหน้าให้เด็กสองคนเท่านั้น
ซย่าโหวอวี๋กลับมีท่าทีสุภาพ
ซย่าโหวโหย่วเต้าแค่นเสียง “หึ” อย่างไม่พอใจ
ซย่าโหวอวี๋หัวเราะออกมา นางอยากเข้าไปลูบหัวน้องชายเหลือเกิน
งานเลี้ยงเริ่มขึ้น สตรีผู้หนึ่งเอ่ยถามฟั่นซื่อ “ไฉนจึงไม่พาคุณชายใหญ่บ้านพวกเจ้ามาร่วมงานเลี้ยงด้วยเล่า”
ฟั่นซื่อกับหลูยวนมีบุตรทั้งหมดเจ็ดคน คนโตสองคนเป็นบุตรสาว ออกเรือนไปแล้ว บุตรชายคนโตปีนี้อายุสิบสี่ เท่ากับซย่าโหวโหย่วเต้าพอดี บุตรชายคนเล็กปีนี้เพิ่งจะสองขวบ ว่ากันว่าเล่าเรียนตำราแล้ว ครั้งนี้คนที่ติดตามมาด้วยเป็นบุตรชายคนรองกับบุตรชายคนที่สาม คนหนึ่งอายุสิบเอ็ด คนหนึ่งอายุแปดขวบ
“อาฝอติดตามหรงเซียนเซิง ไปเจียวโจวแล้ว” ฟั่นซื่อตอบด้วยสีหน้าที่ปิดความดีใจไว้ไม่มิด “ปีหน้าเวลานี้จึงจะกลับมา”
“ตายจริง! ยินดีด้วย ยินดีด้วย!” เหล่าสตรีฟังแล้วต่างประจบสอพลอ
หรงเซียนเซิงมีนามว่าสื่อ ชื่อรอง หยวนจื่อ ถือกำเนิดจากตระกูลใหญ่เก่าแก่ในตงอู๋ เคยดำรงตำแหน่งข้าหลวงส่วนพระองค์และซั่นฉีฉางซื่อเนื่องจากไม่ชอบงานเอกสารที่ทำให้ร่างกายเหนื่อยล้า จึงลาออกจากการเป็นขุนนางและไปใช้ชีวิตอย่างสันโดษในไคว่จี เขามีงานเขียนออกมามากมายจนได้ฉายาว่า ‘สี่ปราชญ์แห่งเจียงจั่ว’ เป็นบัณฑิตที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วหล้า
มีคนไม่รู้ตั้งเท่าไรที่อยากเข้าสำนักของหรงสื่อแต่ถูกปฏิเสธ ทว่าเขากลับรับหลูชิงบุตรชายคนโตของหลูยวนเป็นลูกศิษย์ แล้วจะไม่ให้ผู้อื่นอิจฉาได้อย่างไร!
ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้แล้วอย่างไร ซย่าโหวอวี๋หัวเราะเสียงเย็นในใจ สุดท้ายไม่ว่าจะเดินหน้าหรือถอยหลังพวกเขาก็ยังลำบากอยู่ดี จุดจบคือต้องก้มศีรษะอ้อนวอนเซียวหวน!
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ ซย่าโหวอวี๋ย่อมคิดถึงเซียวหวนขึ้นมา ชาติก่อนเวลานี้เซียวหวนจะถูกหลูยวนส่งไปสวีโจว เดิมทีก่อนแต่งซย่าโหวอวี๋เป็นภรรยา เซียวหวนเป็นเจ้าเมืองตงหยาง หลังแต่งซย่าโหวอวี๋เป็นภรรยาแล้ว ซย่าโหวอวี๋เห็นว่าจิงโจวกับเซียงหยางติดต่อกัน ทั้งยังเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญ น้าชายของตนยังดำรงตำแหน่งผู้ว่าการมณฑลจิงโจวด้วย จึงเลื่อนขั้นเซียวหวนเป็นแม่ทัพเพี่ยวจี้ และผู้ว่าการมณฑลเซียงหยาง ทว่าเซียวหวนยังไม่ทันได้รับตำแหน่ง หลูยวนกลับโยกย้ายเซียวหวนไปเป็นผู้บัญชาการมณฑลทหารกะทันหัน ดูแลการทหารในสวีโจวและอวี้โจวสองมณฑล