บทที่ 3
ในเมื่อหลูยวนตัดสินใจจะสั่งสอนซย่าโหวอวี๋พี่น้อง เขาย่อมไม่ยอมรับคำขอโทษและคำเชื้อเชิญของชุยซื่อ เขาไม่เหลือบแลชุยซื่อเลยด้วยซ้ำ เพียงสะบัดแขนเสื้อจากไปทันที
ฟั่นซื่อเห็นเช่นนั้นก็คว้าแขนคุณหนูสี่สกุลหลู ก่อนพาบุตรชายสองคนจากไปอย่างเร่งร้อน
หลูไหวตะลึงงัน แต่เพียงไม่นานก็หัวเราะเสียงเย็นและจากไป
เหตุการณ์เกิดขึ้นกะทันหัน นอกจากซย่าโหวอวี๋แล้ว คนอื่นๆ หากไม่มองหน้ากันไปมาก็พากันปากอ้าตาค้าง ชุยซื่อร้องเสียงหลง “ข้า…ข้าไม่ได้พูดอะไรนะ!” ท่าทางเหมือนกลัวว่าตนเองจะเป็นสาเหตุที่ทำให้หลูยวนโกรธเคือง
ซย่าโหวอวี๋ไม่พูดอะไร นางยิ้มจางพลางลูบสร้อยลูกปัดหยกมันแพะ บนข้อมือตนเอง นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่ช้าไม่เร็ว “ท่านน้าไม่ต้องร้อนใจไป แม่ทัพใหญ่คงมีเรื่องเร่งด่วน” จากนั้นนางก็ร้องเรียกตู้ฮุ่ย “ขนมกับน้ำชาเตรียมเสร็จหรือยัง ยกเข้ามาได้แล้ว!”
ตามกำหนดการของตู้ฮุ่ย กลางวันกินเลี้ยง หลังจากนั้นหนึ่งชั่วยามค่อยยกน้ำชากับขนมเข้ามา กินขนมเสร็จ งานเลี้ยงในอุทยานหวาหลินก็เป็นอันยุติลงได้ ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลายกน้ำชากับขนม แต่ซย่าโหวอวี๋ถามถึง แสดงว่าอยากให้งานเลี้ยงเลิกก่อนเวลา
ตู้ฮุ่ยค้อมกายรับคำ “เพคะ” แล้วหันไปสั่งให้นางกำนัลเริ่มยกน้ำชากับขนมออกมา
กษัตริย์กับขุนนางสังสรรค์กัน เดิมทีเป็นเรื่องที่น่ายินดี ทว่าการกลับไปของหลูยวนได้ทำให้งานเลี้ยงถูกปกคลุมด้วยเงาดำแล้ว ทุกคนนั่งคุกเข่าอยู่หน้าโต๊ะเงียบๆ ดื่มน้ำชากับขนมไปอย่างใจลอย เด็กชายและเด็กหญิงหลายคนตกใจจนไม่กล้าส่งเสียงเอะอะ ทำได้เพียงนั่งอย่างสงบเสงี่ยมเรียบร้อย
ซย่าโหวอวี๋เห็นแล้วก็นึกอึดอัดใจแทนพวกเขา นางยิ้มพลางดื่มชาถ้วยหนึ่ง ก่อนจะกลับวังพร้อมซย่าโหวโหย่วเต้า งานเลี้ยงในอุทยานหวาหลินจึงจบลงอย่างไม่ค่อยดีนัก
ซย่าโหวโหย่วเต้าอดทนไว้ไม่พูดจา รอจนกลับถึงตำหนักข้างของตำหนักทิงเจิ้ง เขาก็อดรนทนไม่ไหว เขวี้ยงคทาหยกในมือลงบนเสื่อหญ้าหลันเฉ่า พูดอย่างเดือดดาล “พี่สาว ท่านดูหลูยวนสิ เขาทำเช่นนี้หมายความว่าอะไร ข้าว่าเขาอยากเอาอย่างซือหม่าเจากระมัง แต่ข้าหาใช่เฉาฮ่วน ไม่”
ชาติก่อนซย่าโหวอวี๋ไม่เคยได้ยินเสียงบ่นเช่นนี้จากซย่าโหวโหย่วเต้ามาก่อน นางรู้สึกว่าเป็นเพราะความเข้มแข็งของนางในชาตินี้ จึงทำให้ซย่าโหวโหย่วเต้าเปลี่ยนเป็นเข้มแข็ง บางทีท่าทีที่นางมีต่อหลูยวน อาจมีส่วนอย่างมากที่ทำให้น้องชายนางอ่อนแอ
นางอดถามหยั่งเชิงไม่ได้ “น้องชาย วันนี้ข้าล่วงเกินหลูยวนไป เจ้ากลัวหรือไม่”
“กลัวสิ!” ซย่าโหวโหย่วเต้ายอมรับอย่างเปิดเผย แต่กลับคุกเข่านั่งลงข้างกายซย่าโหวอวี๋อย่างสุขุม “แต่ต่อให้พวกเราเชื่อฟังเขาเพียงใด เขาก็ไม่พอใจอยู่ดี! แทนที่จะอยู่แบบจำยอมต่อไป ข้ายินดีตายเพื่อคุณธรรมเสียดีกว่า!”
“พูดจาเหลวไหล!” ซย่าโหวอวี๋ฟังแล้วตกใจ นางอดตำหนิซย่าโหวโหย่วเต้าไม่ได้
ซย่าโหวโหย่วเต้ากลับไม่ได้ยิ้มร่ายอมรับผิดเฉกเช่นแต่ก่อน ทว่ากลับเอ่ยกลบเกลื่อนคำพูดเมื่อครู่นี้ เขาพูดกับซย่าโหวอวี๋ด้วยท่าทีที่จริงจัง “พี่สาว ท่านดูกษัตริย์ที่อ่อนแอพวกนั้นสิ มีผู้ใดบ้างที่มีจุดจบที่ดี ไหนจะต้องถูกผู้คนก่นด่า ข้าไม่ต้องการเป็นเช่นนั้น!”
ซย่าโหวอวี๋สะเทือนใจ นานครู่ใหญ่ที่ไม่เอ่ยอะไรออกมา
นางกำนัลเข้ามารายงานว่าชุยซื่อมา ซย่าโหวอวี๋ให้ตู้ฮุ่ยไปเชิญน้าสะใภ้เข้ามา
ชุยซื่อเห็นพวกเขาพี่น้องมีสีหน้าเคร่งเครียด จึงเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ “มีอะไรกันหรือ”
คำพูดของซย่าโหวโหย่วเต้ามิอาจเอ่ยออกไปส่งเดช
“ไม่มีอะไรหรอก” ซย่าโหวอวี๋หาข้ออ้างกลบเกลื่อน “โอรสสวรรค์กำลังสนทนาถึงเรื่องอวี๋เหยาต้าจ่างกงจู่กับข้าอยู่!”
ชุยซื่อได้ยินชื่อนี้แล้วก็ปวดหัวยิ่ง นางไม่สงสัยในความผิดปกติของสองพี่น้องอีก รีบพูดว่า “หากนางมาหาเจ้าอีก เจ้าก็บอกให้นางมาหาข้าด้วย บอกนางว่าสินเจ้าสาวของเจ้าอยู่ในมือข้าทั้งหมด ข้าช่วยเก็บรักษาไว้ให้เจ้า แต่ไม่ได้มอบเงินให้เจ้า”
ซย่าโหวอวี๋พี่น้องฉีกยิ้มพร้อมกัน ชุยซื่อถอนหายใจ “ทางอุทยานหวาหลินข้าให้คนไปจัดการเรียบร้อยแล้ว ส่วนทางสกุลชุยพวกเจ้าก็ไม่ต้องเป็นกังวล แม่ทัพใหญ่แสดงท่าทีเช่นนี้ ผู้ใดบ้างที่ในใจไม่กระจ่างแจ้ง พวกเจ้าไม่ต้องห่วง ข้ากลับไปแล้วจะเขียนจดหมายถึงน้าชายของพวกเจ้า บอกให้เขากลับเจี้ยนคังสักครั้ง ถึงอย่างไรก็ไม่ปล่อยให้พวกเจ้าต้องเสียเปรียบแน่!”
“ขอบคุณน้าสะใภ้!” ซย่าโหวโหย่วเต้าพูดกับชุยซื่ออย่างสนิทสนม
ชุยซื่อยิ้มอย่างไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่ เอ่ยคำพูดมากมายมาปลอบโยนทั้งสองคน ก่อนจะออกจากวังกลับบ้านไปเขียนจดหมาย