เซี่ยตันหยางที่แต่งกายเรียบร้อยก้าวเดินเข้ามาอย่างสง่างาม ข้างหลังเขายังมีผู้เฒ่ารูปร่างสูงใหญ่ เส้นผมสีขาวโพลนเดินตามมาด้วย
ทว่าซย่าโหวอวี๋ยังไม่ทันเห็นโฉมหน้าของผู้ที่มาได้อย่างชัดเจน เซี่ยตันหยางก็ยิ้มพูด “จ่างกงจู่ ดูเถิด กระหม่อมเชิญผู้ใดมาด้วย”
ดวงตาของซย่าโหวอวี๋พลันเปล่งประกายระยิบระยับดุจดวงดาว “หงเซียนเซิง!” นางรีบเข้าไปคารวะ “ท่านรีบมาดูน้องชายข้าเร็วเข้า!” ยังพูดไม่จบ หางตาก็ทอประกายน้ำตาแล้ว สมัยที่ท่านตาของนางยังมีชีวิตอยู่ นางเคยดึงเคราสีขาวของหงฟู่มาด้วยความซุกซน พริบตาเดียวนางก็ไม่ได้พบหงฟู่มาเจ็ดแปดปีแล้ว
หงฟู่เองก็รู้สึกสะท้อนใจทีเดียว แต่กลับไม่ได้ทักทายซย่าโหวอวี๋ตอบ เพียงเอ่ยตรงๆ ว่า “ข้าขอตรวจดูโอรสสวรรค์ก่อน”
ซย่าโหวอวี๋ผงกศีรษะติดๆ กัน แล้วเปิดทางให้อีกฝ่าย
หงฟู่คุกเข่าข้างเตียงพลางจับชีพจรให้ซย่าโหวโหย่วเต้า เซี่ยตันหยางอธิบายเสียงค่อยกับซย่าโหวอวี๋ “กระหม่อมเกรงว่าความสามารถจะไม่เพียงพอ ได้ยินว่าหงเซียนเซิงอยู่ที่เมืองเจี้ยนคังพอดี กระหม่อมจึงเชิญหงเซียนเซิงมาด้วย”
ซย่าโหวอวี๋ขอบคุณเซี่ยตันหยางอย่างซาบซึ้งใจ
สีหน้าของหงฟู่กลับไม่ดีนัก เขาจับชีพจรของซย่าโหวโหย่วเต้าทั้งมือซ้ายและมือขวาเกือบครึ่งชั่วยามแล้วก็ยังไม่สั่งยา หลังจากตรึกตรองอยู่นาน เขาจึงวางมือซย่าโหวโหย่วเต้าในผ้าห่มดังเดิม แล้วลุกขึ้นพูดกับซย่าโหวอวี๋เสียงค่อย “จ่างกงจู่ เชิญตามข้ามาพูดคุยที่ด้านข้างหน่อย!”
ซย่าโหวอวี๋รู้สึกหน้ามืดไปทันที ขณะที่ว้าวุ่นใจอยู่นั้น นางไม่รู้ว่านางไปคว้าแขนของผู้ใดเอาไว้
ชาติก่อนไม่มีหงฟู่ ไม่มีเซี่ยตันหยาง เป็นหมอหลวงที่เอ่ยคำพูดนี้กับนาง จากนั้นรอจนน้องชายสิ้นลมหายใจ เขาก็ไม่เคยลืมตาขึ้นมามองนางอีกเลย
“จ่างกงจู่! จ่างกงจู่!” มีคนร้องเรียกซย่าโหวอวี๋ที่ข้างหูเสียงค่อยอย่างร้อนรน นางตั้งสติพยายามลืมตาขึ้น ถึงพบว่าตนเองคว้าแขนของตู้ฮุ่ยอยู่
ตู้ฮุ่ยเห็นใบหน้าซย่าโหวอวี๋มีสีเลือดแล้ว จึงลอบพรูลมหายใจ รีบเอ่ยกำชับเสียงค่อย “จ่างกงจู่ เวลานี้ท่านจะทรงลนลานไม่ได้นะเพคะ โอรสสวรรค์ต้องพึ่งท่านแล้ว!”
ซย่าโหวอวี๋พยักหน้ารับอย่างแข็งทื่อ นางเดินตามหงฟู่ออกจากตำหนักบรรทมไป
ท้องฟ้าสว่างจ้าแล้ว เมฆยามเช้าหลากสีสันทางทิศตะวันออกกระจายตัวเป็นชั้นๆ เหมือนเกล็ดปลา ส่องผืนฟ้าให้สว่างทั้งหมด
หงฟู่กับซย่าโหวอวี๋ยืนอยู่ใต้ชายคาตำหนัก เขาลังเลอยู่นานไม่รู้จะเอ่ยปากเช่นไรดี ทว่าซย่าโหวอวี๋เตรียมใจไว้แล้ว นางเอ่ยเพียงว่า “หงเซียนเซิงไม่ต้องเป็นห่วง ข้ารับไหว!”
สายตาที่หงฟู่มองนางฉายความเวทนาสงสาร เขาใคร่ครวญก่อนเอ่ยว่า “ข้าจะให้โอรสสวรรค์เสวยโอสถสองสามเม็ดก่อน หากยังไม่ฟื้น จ่างกงจู่ค่อยตัดสินใจก็ยังไม่สาย”
นั่นหมายความว่าน้องชายของนางจะเป็นเหมือนเมื่อชาติที่แล้ว สลบไสลไม่ฟื้นและจากโลกนี้ไป ซย่าโหวอวี๋พยักหน้า น้ำตาไหลรินลงมาเงียบๆ
หงฟู่ทนมองไม่ได้ เขาถอนหายใจแล้วเบือนหน้าไปทางอื่น
ซย่าโหวอวี๋ยืนเหม่ออยู่ครู่หนึ่ง นางหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดน้ำตาให้แห้ง พูดเสียงดังกับหงฟู่ “หงเซียนเซิง โอรสสวรรค์ยังต้องเสวยโอสถมิใช่หรือ ไม่แน่อีกไม่กี่วันเขาอาจฟื้นขึ้นมาก็เป็นได้!”
หงฟู่มองซย่าโหวอวี๋และยิ้มพูด “จ่างกงจู่กล่าวได้ถูกต้องแล้ว ข้าจะส่งคนไปเอาโอสถ โอรสสวรรค์เป็นคนดีสวรรค์ย่อมคุ้มครอง พระองค์ต้องไม่เป็นอะไรแน่”
ซย่าโหวอวี๋พยักหน้าพลางยิ้มรับ นางเข้าไปในตำหนักข้างพร้อมกับหงฟู่
ครึ่งชั่วยามให้หลัง ซย่าโหวโหย่วเต้ากินยาลงไป ซย่าโหวอวี๋ยิ้มพูดกับตู้ฮุ่ย “เจ้าดูสิ น้องชายรู้ด้วยว่าต้องกินยา แสดงว่าเขาไม่ได้ไม่รู้ตัวเสียทีเดียว”
หัวใจของตู้ฮุ่ยราวถูกแทงด้วยมีด โลหิตหลั่งริน ทว่าใบหน้ากลับระบายยิ้มเฉกเช่นซย่าโหวอวี๋ นางตอบกลับไปว่า “ใช่เพคะ อีกไม่นานโอรสสวรรค์ก็จะทรงฟื้นขึ้นมา!”