หลูยวน ฟั่นซื่อและหลูไหวกลับถึงบ้านแล้ว
ฟั่นซื่อจัดการให้บุตรชายสองคนกับคุณหนูสี่พักผ่อน ส่วนตนเองไปยังห้องหนังสือของหลูยวน
หลูยวนกำลังสนทนากับหลูไหว พอเห็นฟั่นซื่อเข้ามา หลูไหวจึงลุกขึ้นคารวะฟั่นซื่อ เชิญฟั่นซื่อนั่งอย่างนอบน้อม และสั่งสาวใช้ด้วยตนเองให้ยกน้ำชากับขนมเข้ามา จากนั้นพูดกับฟั่นซื่อด้วยท่าทีตำหนิ “เมื่อครู่หากไม่ใช่เพราะพี่สะใภ้ห้ามเอาไว้ พี่ชายคงได้สั่งสอนเจ้าเด็กหน้าเหม็นจิ้นหลิงไปแล้ว ย่อมไม่เกิดเรื่องวุ่นวายเช่นนี้ตามมา!”
เรื่องที่ส่งคุณหนูสี่เข้าวังเป็นการตัดสินใจของสกุลหลู ข้อนี้เขาเองก็รู้
ฟั่นซื่อหันไปมองสามีด้วยใบหน้าเย็นเยียบ ก่อนเผยรอยยิ้มจางๆ นางดื่มน้ำชาและเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ข้ารู้สึกว่ายั่วโมโหจิ้นหลิงไปตอนนั้นไม่ใช่การกระทำที่ชาญฉลาด…พวกท่านเป็นบุรุษ ย่อมฟังนัยแฝงของจิ้นหลิงไม่ออก พวกท่านอย่าลืมสิ หากนางยืนกรานจริงๆ ไม่เพียงสามารถพระราชทานสมรสให้คุณหนูสี่ได้เท่านั้น ยังถึงขั้นพระราชทานสมรสให้อาฝอได้ด้วยซ้ำ!”
หลูยวนพี่น้องไม่ทันคิดถึงเรื่องนี้จริงๆ ทั้งสองตะลึงงัน อาฝอเป็นบุตรชายสายตรงคนโตของพวกเขา เป็นผู้สืบทอดของตระกูล จะเกิดข้อผิดพลาดไม่ได้แม้แต่น้อย!
รอยยิ้มของฟั่นซื่อเลือนหายไป น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นเยียบเย็นเฉกเช่นสีหน้า “เด็กคนนี้ใจกล้ามากขึ้นทุกที ถึงเวลาต้องควบคุมนางแล้ว!”
หลูไหวไม่ชอบให้พี่สะใภ้ของตนก้าวก่ายเรื่องภายในบ้าน พี่สะใภ้ของเขาคนนี้มีอำนาจกับพี่ชายมากเกินไป เขาฟังแล้วนิ่วหน้า “พวกเราคาดไม่ถึงว่านางจะแต่งงานกับเซียวหวน…เรื่องนี้จึงยุ่งยากเล็กน้อย”
ฟั่นซื่อเป็นสตรีประเภทที่ได้คู่ครองที่ดี นางจึงรับไม่ได้เป็นพิเศษหากมีผู้ใดได้คู่ครองที่ดีไปกว่าตน ได้ยินหลูไหวพูดเช่นนี้ นางจึงซักไซ้ “หมายความว่าอย่างไร เซียวหวนผู้นั้นถูกแม่ทัพใหญ่ย้ายไปสวีโจวแล้วมิใช่หรือ ในเวลาสั้นๆ เช่นนี้ เขายังจะก่อเรื่องอะไรออกมาได้อีก”
หลูไหวชำเลืองมองหลูยวน
หลูยวนสีหน้าเรียบเฉย ไม่เอ่ยอะไร
เวลานี้ ท่าทางของฟั่นซื่อได้แสดงให้เห็นถึงชาติตระกูลที่ไม่สูงศักดิ์พอ
สกุลหลูเป็นตระกูลใหญ่ทางตอนเหนือ สมัยก่อนชาวหูรุกรานดินแดนตอนกลาง พวกเขาติดตามหมิงจงฮ่องเต้หลบหนีมายังเจียงหนาน ส่วนสกุลเซียวเป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงในอู๋จง ในอดีตตระกูลใหญ่ทางตอนเหนือที่ติดตามหมิงจงฮ่องเต้ปู่ทวดของซย่าโหวอวี๋เดินทางลงใต้มานั้น ไม่เพียงเสียชีวิตไปจำนวนมาก ยังสูญเสียที่ดินและข้ารับใช้ไปด้วย ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการรักษาความรุ่งโรจน์ในอดีตเอาไว้เลย แค่การกินอยู่ในชีวิตประจำวันยังขาดความมั่นคง หมิงจงฮ่องเต้จึงมีราชโองการอนุญาตให้พวกเขาบุกเบิกที่ดินรกร้าง แต่ที่ดินเหล่านั้นได้ชื่อว่ารกร้างก็เพราะไม่เหมาะที่จะทำการเพาะปลูก ทั้งยังไม่เหมาะจะเป็นที่อยู่อาศัย เหลือแต่พื้นที่ที่ไม่เป็นที่ต้องการของตระกูลดังในอู๋จง ตระกูลใหญ่ทางตอนเหนือพยายามขบคิดสารพัดวิธี แต่ผลผลิตที่ได้ก็ยังคงน้อยมาก
เมื่อท้องกินไม่อิ่ม เสื้อผ้าไม่เพียงพอจะห่มคลุมร่างกาย ความขัดแย้งระหว่างตระกูลใหญ่ทางตอนเหนือกับตระกูลดังในอู๋จงจึงเพิ่มขึ้นจนก่อเกิดเป็นสงคราม ตอนนั้นตระกูลที่มีอำนาจบารมีมากที่สุดในอู๋จงก็คือ ‘กู้เฉียนอู๋เซียว’ สี่ตระกูล สี่ตระกูลนี้มีสกุลกู้เป็นหัวหน้า เขาตัดสินใจปลดหมิงจงฮ่องเต้และแต่งตั้งฮ่องเต้องค์ใหม่ ทว่าสุดท้ายกลับพ่ายแพ้ให้กับตระกูลใหญ่ทางตอนเหนือที่มีสกุลหลูเป็นหัวหน้า ภายหลังเหตุการณ์นี้จึงถูกเรียกว่า ‘กบฏสี่แซ่ในอู๋’
ส่วนสกุลเซียวเป็นเพียงตระกูลเดียวในสี่ตระกูลดังของอู๋จงที่ไม่ถูกทำลาย นี่เป็นเหตุผลที่ว่าเหตุใดหลายปีมานี้สกุลเซียวจึงใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายอยู่ในอู๋จงมาโดยตลอด
แต่ไม่ว่าจะพูดอย่างไร นี่ล้วนเป็นเรื่องในอดีตที่ผ่านมาแล้ว สิ่งที่เรียกว่าตระกูลดังในอู๋จงกับตระกูลใหญ่ทางตอนเหนือในอดีต ตอนนี้ไม่มีความแตกต่างอะไรแล้ว
“เรื่องพวกนี้เจ้าอย่าสนใจเลย ข้ามีแผนการของข้า” หลูยวนพูดกับฟั่นซื่อด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
ฟั่นซื่อเลื่อมใสและเชื่อมั่นในตัวสามีจากใจจริง หลูยวนบอกนางว่าไม่ต้องสนใจ นางก็จะไม่สนใจ นางคารวะหลูยวนอย่างนอบน้อม กำชับสามีหลายคำด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ลมกลางคืนยังหนาวเย็นมาก จำไว้ว่าต้องสวมเสื้อเพิ่มอีกสักตัว” จากนั้นจึงถอยออกไป
หลูยวนเดินไปส่งนางที่ประตูด้วยตนเอง