ซย่าโหวโหย่วเต้ากลับนอนไม่หลับทั้งคืน หลังโทสะหมดไปและสงบสติอารมณ์ได้แล้ว เขาก็นึกหวาดกลัวในภายหลัง หลูยวนเป็นคนทำมากแต่พูดน้อย ในราชสำนักคนที่ล่วงเกินเขาส่วนใหญ่ล้วนไม่มีจุดจบที่ดี หากคนผู้นั้นลงมือกับพี่สาวเล่า เขาควรทำเช่นไรจึงจะปกป้องพี่สาวได้ หรือว่าต้องรับปากแต่งงานกับสกุลหลูเท่านั้น?
คิดถึงตรงนี้ เขาก็หยิกตนเองแรงๆ หนึ่งที พี่สาวยั่วโทสะหลูยวนด้วยเรื่องการแต่งงานของเขา หากเขารับปากแต่งงานกับสกุลหลู สิ่งที่พี่สาวทำมาจะมีความหมายอะไรเล่า
ซย่าโหวโหย่วเต้าลำบากใจ จึงแวะไปตำหนักเฟิ่งหยางก่อนออกว่าราชการ
ซย่าโหวอวี๋อาบน้ำอยู่ ซย่าโหวโหย่วเต้าได้ยินแล้วก็รู้สึกแปลกใจ เขาเอ่ยถามว่า “เวลานี้น่ะหรือ”
ตู้ฮุ่ยเป็นกังวลอย่างมาก นี่เป็นวันที่สามติดต่อกันแล้วที่ซย่าโหวอวี๋ฝันร้าย ทุกครั้งที่ตื่นมาใบหน้าอีกฝ่ายล้วนซีดเผือด เหงื่อเปียกชุ่มเสื้อผ้า นางอยากเชิญหมอหลวงมาตรวจดู ทว่ากลับถูกซย่าโหวอวี๋ปฏิเสธ โอรสสวรรค์ร่างกายอ่อนแอ นางจึงไม่กล้าเล่าเรื่องนี้ให้โอรสสวรรค์ฟัง ด้วยเกรงจะทำให้โอรสสวรรค์กังวลจนหวาดกลัว ไม่แน่ว่าซย่าโหวอวี๋ยังไม่ทันหายดี โอรสสวรรค์อาจจะล้มป่วยไปก่อน
“ฤดูใบไม้ผลิแดดดี สองวันนี้พวกนางกำนัลรุ่นเล็กพากันเอาผ้าห่มออกมาตาก เกรงว่าจ่างกงจู่ทรงร้อนน่ะเพคะ” ตู้ฮุ่ยปิดบังซย่าโหวโหย่วเต้าและเปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็ว “ไฉนโอรสสวรรค์จึงเสด็จมาเยือนในเวลานี้ เสวยพระกระยาหารเช้าหรือยังเพคะ จะให้ยกสำรับอาหารมาที่ตำหนักเฟิ่งหยางหรือไม่ จ่างกงจู่น่าจะแต่งตัวใกล้เสร็จแล้ว จะให้ข้าเข้าไปแจ้งหรือไม่เพคะ”
ซย่าโหวโหย่วเต้าไม่ใส่ใจนัก เขาผงกศีรษะอย่างห่อเหี่ยวเล็กน้อย แล้วคุกเข่านั่งลงหน้าโต๊ะเขียนหนังสือของซย่าโหวอวี๋ พลิกดูตำราบนโต๊ะเรื่อยเปื่อยพลางเอ่ยว่า “ยกสำรับอาหารเช้ามาที่ตำหนักเฟิ่งหยางเถอะ ข้าอยากกินข้าวกับพี่สาว!”
ตู้ฮุ่ยถอยไปอย่างนอบน้อม
ซย่าโหวอวี๋ที่ทราบข่าวแล้วเพียงเกล้ามวยผมอย่างลวกๆ และออกมา นางมิอาจไม่รอบคอบระมัดระวัง ชาติก่อนเวลานี้ น้องชายนางสลบไสลไม่ได้สติไปแล้ว นางเคยแก้ไขจุดจบของชาติก่อนมาแล้วหนหนึ่งก็จริง แต่ผู้ใดจะล่วงรู้ว่าเรื่องราวจะถูกดึงกลับเข้าสู่เส้นทางเดิมอีกหรือไม่
“ไฉนเจ้าจึงมาเวลานี้” ซย่าโหวอวี๋จับมือน้องชาย พิจารณาเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า เกรงว่าเขาจะไม่สบายตรงไหน
ซย่าโหวโหย่วเต้าไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “ข้าแค่คิดถึงพี่สาว อยากมาหาพี่สาวเท่านั้นเอง”
ซย่าโหวอวี๋อดหัวเราะไม่ได้ “กินอาหารเช้ากับข้าที่นี่แล้วกัน ประเดี๋ยวข้าไปส่งเจ้าออกว่าราชการ”
เป็นเช่นตอนที่เสด็จพ่อสวรรคตใหม่ๆ พี่สาวจะไปส่งเขาออกว่าราชการทุกวัน ซย่าโหวโหย่วเต้ายิ้มอย่างเบิกบาน
ซย่าโหวอวี๋พี่น้องกินอาหารเช้าเสร็จ ซย่าโหวอวี๋ก็ทำเหมือนตอนที่ยังไม่ออกเรือน นางจูงมือน้องชาย ค่อยๆ พาเขาไปส่งที่ตำหนักกลางของตำหนักทิงเจิ้ง
ระหว่างทาง ซย่าโหวอวี๋ก็คอยปลอบโยนน้องชาย “พี่สาวไม่เหมือนแต่ก่อนแล้ว ต่อให้แม่ทัพใหญ่โมโหเพียงใดก็ไม่อาจตำหนิข้าโดยข้ามหน้าพี่เขยเจ้าหรือว่าเจ้าได้ อย่างมากเขาก็แค่ก่อกวนเจ้า ก่อกวนพี่เขยเจ้าเท่านั้น” พูดถึงตรงนี้ นางก็คิดถึงสีหน้าเคร่งเครียดมาตลอดทั้งเช้าของน้องชาย นางมีใจอยากชี้แนะซย่าโหวโหย่วเต้า จึงอดหยอกเย้าไม่ได้ “น้องชายต้องปกป้องข้าได้แน่ ข้าไม่กังวลแม้แต่น้อย ส่วนพี่เขยเจ้า ปล่อยให้เขาปวดหัวไปแล้วกัน ไม่ใช่จะแต่งกับกงจู่ได้ง่ายๆ เจ้าว่าใช่หรือไม่!”
ซย่าโหวโหย่วเต้าถูกพี่สาวหยอกเย้าจนหัวเราะ เขาผงกศีรษะ และไปว่าราชการอย่างดีอกดีใจ
ซย่าโหวอวี๋ยืนอยู่ใต้ชายคา มองแผ่นหลังของน้องชายหายลับเข้าไปในตำหนักอันสูงตระหง่าน ก่อนจะหมุนตัวเดินกลับตำหนักเฟิ่งหยาง
ตู้ฮุ่ยกำลังอมยิ้มยืนรอซย่าโหวอวี๋อยู่หน้าประตูตำหนักบรรทม…ซย่าโหวอวี๋พี่น้องสามารถดูแลกันและกันได้เช่นนี้ นางรู้สึกสบายใจยิ่งนัก