“ผ่านเดือนสามวันที่สามไปก็เป็นเทศกาลตวนอู่แล้ว ในวังควรเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นเสื้อบุซับในและตัดชุดฤดูร้อนได้แล้ว” นางค้อมกายน้อยๆ เดินตามซย่าโหวอวี๋เข้าไปในตำหนักบรรทม “ปีนี้สกุลเวินมีผ้าใหม่ส่งมาเป็นเครื่องบรรณาการ ได้ยินว่านุ่มละเอียดดุจผ้าไหม ขาวบริสุทธิ์ดุจหยก ตั้งชื่อว่าเกสรหิมะ จ่างกงจู่จะทอดพระเนตรหรือไม่เพคะ”
หลายปีมานี้แพรพรรณในวังล้วนเป็นของบรรณาการจากสกุลเวินที่อยู่ในอำเภอเจียงหนิง แต่ก่อนสมัยซย่าโหวอวี๋อยู่ในวัง เรื่องพวกนี้นางล้วนเป็นผู้ดูแล หลังนางออกเรือนจึงมอบหมายให้ตู้ฮุ่ยเป็นผู้จัดการ ตู้ฮุ่ยเกรงว่าเรื่องในอุทยานหวาหลินจะทำให้นางไม่สบายใจ จึงตั้งใจหางานให้นางทำ จะได้ไม่คิดฟุ้งซ่าน
ในใจของซย่าโหวอวี๋ไม่ได้สงบอย่างที่แสดงออก ตอนอยู่ในอุทยานหวาหลินหลูยวนสะบัดแขนเสื้อจากไป แสดงว่าเขาโมโหจริงๆ แต่ด้วยนิสัยของเขา โมโหก็ส่วนโมโห เรื่องที่จะทำยังคงต้องทำ รู้จักกันมาสองชาติแล้ว นางยังจะไม่รู้อีกหรือว่านิสัยเขาเป็นเช่นไร
ซย่าโหวอวี๋ไม่สนใจคำพูดของตู้ฮุ่ย เพียงเอ่ยกับตู้ฮุ่ยโดยไม่ตรงกับคำถาม “เจ้าส่งคนไปเฝ้าที่ตำหนักทิงเจิ้ง แล้วเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นภายในตำหนักให้ข้าฟังอย่างละเอียด”
นางคงกลัวหลูยวนจะสร้างความลำบากใจให้โอรสสวรรค์กระมัง ตู้ฮุ่ยมีสีหน้าเคร่งขรึมลง นางก้มหน้ารับคำและถอยออกไป
ซย่าโหวอวี๋พิงหมอนอิง หลับตาครุ่นคิดเรื่องในใจ หากหลูยวนเอาเรื่องเก่ามาพูดอีก จะให้คุณหนูสี่สกุลหลูแต่งเข้าวังให้ได้ นางควรปฏิเสธเช่นไรดี
ยังมีเซียวหวนอีก ชาติก่อนเขาไปสวีโจวได้ไม่นานก็ซื้อใจผู้ว่าการมณฑลสวีโจวและผู้ว่าการมณฑลอวี้โจวได้ ภายหลังสองคนนี้ยังคอยติดตามเซียวหวนตลอด ยกทัพขึ้นเหนือทำศึกแทนเซียวหวน สร้างความดีความชอบครั้งใหญ่ ชาตินี้นางไม่ได้เปลี่ยนแปลงโชคชะตาของเซียวหวน เซียวหวนน่าจะจัดการเรื่องที่สวีโจวและอวี้โจวได้อย่างรวดเร็วถึงจะถูก เพียงแต่ชาตินี้น้องชายนางไม่ได้ตาย ไม่รู้เขาจะอยู่ที่สวีโจวนานเพียงใด เขาจะดื่มสุราสรวลเสเฮฮากับหลูไหวที่มีตำแหน่งผู้ว่าการมณฑลหยางโจว เรียกขานกันว่าพี่น้องหรือไม่ หรือว่าจะเผชิญหน้ากันเหมือนเป็นศัตรูที่ไม่ยอมถอยแม้แต่ก้าวเดียว
ชาติก่อนสิ่งที่เซียวหวนเชี่ยวชาญมากที่สุดคือการใช้ความอ่อนพิชิตความแข็ง ไม่รู้ว่าชาตินี้เขาจะเป็นเช่นนั้นอีกหรือไม่
นางคิดไปเรื่อยเปื่อย เวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว พอนางได้สติอีกครั้งการประชุมขุนนางในตำหนักทิงเจิ้งก็ยุติลงแล้ว ขันทีน้อยที่ถูกตู้ฮุ่ยส่งไปแอบฟังกลับมารายงาน
“แม่ทัพใหญ่บอกว่าปีก่อนเกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่ เสบียงอาหารราคาสูงขึ้นอย่างมาก ปีนี้เกรงว่าการเก็บเกี่ยวผลผลิตก็คงไม่ดีเช่นกัน จึงให้โอรสสวรรค์สั่งให้ขุนนางท้องถิ่นเรียกเก็บเสบียงอาหารมากขึ้นหน่อย หากเป็นปีที่แห้งแล้งจะได้สร้างเพิงแจกโจ๊ก โอรสสวรรค์เห็นด้วย แต่ราชเลขาธิการบอกว่าปีก่อนแม่ทัพใหญ่สั่งให้เพิ่มภาษีอากรแล้ว บัดนี้แต่ละปีชายฉกรรจ์ต้องมอบแพรพรรณจำนวนสี่พับ ฝ้ายจำนวนห้าชั่ง นับเป็นสองเท่าของสมัยเจิ้งตั้นแล้ว หากเพิ่มภาษีอากรอีก เกรงว่าจะไม่ดีนัก”
เจิ้งตั้นเป็นชื่อรัชศกของหมิงจงฮ่องเต้ปู่ทวดของซย่าโหวอวี๋
ซย่าโหวอวี๋แปลกใจมาก นางเอ่ยถามขันทีน้อย “ในราชสำนัก นอกจากเรื่องพวกนี้ก็ไม่มีเรื่องอื่นแล้วหรือ”
“ไม่มีพ่ะย่ะค่ะ!” ขันทีผู้นั้นรู้สึกหวั่นเกรง “กระทั่งเลิกประชุม ใต้เท้าทั้งหลายก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้ เกือบจะกักตัวโอรสสวรรค์ไว้ในตำหนัก แล้วจะมีเวลาไปหารือเรื่องอื่นอีกได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ!”
เห็นทีหลูยวนจะตัดสินใจอดทนไปก่อนชั่วคราว ไม่รู้ว่าเขามีแผนการรับมือแล้ว หรือแค่อยากดูว่าระหว่างสองคนผู้ใดจะอดทนได้มากกว่ากัน ถึงอย่างไรซย่าโหวโหย่วเต้าก็เติบโตขึ้นทุกวัน สักวันหนึ่งย่อมต้องแต่งงาน ขอเพียงซย่าโหวโหย่วเต้าแต่งงาน เขาย่อมมีโอกาสก้าวก่ายการแต่งงานของซย่าโหวโหย่วเต้า
ซย่าโหวอวี๋โบกมือให้ขันทีถอยออกไป
ซย่าโหวโหย่วเต้าเลิกประชุมแล้วก็มากินอาหารกลางวันกับนางที่นี่ สองพี่น้องพูดคุยหัวเราะกัน เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ซย่าโหวอวี๋นอนกลางวัน ซย่าโหวโหย่วเต้าก็ไปอ่านหนังสือกราบทูลที่ตำหนักทิงเจิ้ง