แต่ดูเหมือนเทพเซียนเหล่านั้นจะไม่ได้ยินเสียงอ้อนวอนของนาง ท้องฟ้าค่อยๆ กลายเป็นสีขาวแล้ว แต่เซี่ยตันหยางยังคงไม่เข้าวัง ซย่าโหวโหย่วเต้าก็ยังไม่ฟื้นขึ้นมา จู่ๆ ก็มีขันทีมารายงานนางอย่างกล้าๆ กลัวๆ ว่า “แม่ทัพใหญ่มาขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ!”
ซย่าโหวอวี๋รู้อยู่แล้วว่าเรื่องในวังมิอาจปิดบังกับหลูยวนได้ แต่หลูยวนมาถึงรวดเร็วเช่นนี้ ยังคงทำให้ซย่าโหวอวี๋หงุดหงิดใจเป็นอย่างมาก นางตีหน้าเย็นบอกให้ขันทีไปเชิญหลูยวนเข้ามา
สีหน้าของหลูยวนเยียบเย็นเคร่งขรึมยิ่งกว่าซย่าโหวอวี๋เสียอีก เขาคารวะซย่าโหวอวี๋อย่างขอไปทีก่อนจะตรงดิ่งมาที่เตียงของซย่าโหวโหย่วเต้า พิจารณาสีหน้าของซย่าโหวโหย่วเต้าพลางพูด “นี่มันเรื่องอะไรกัน โอรสสวรรค์เสพหานสือซั่น? เหตุใดกระหม่อมจึงไม่รู้ แล้วหมอหลวงว่าอย่างไรบ้าง โอรสสวรรค์ทรงหมดสติไปตั้งแต่เมื่อไร ทรงหมดสติไปนานเท่าไรแล้ว ระหว่างนั้นทรงฟื้นขึ้นมาบ้างหรือไม่” เขาถาม สายตาเลื่อนไปยังซย่าโหวอวี๋
ที่นี่คือวังหลวง หลูยวนเป็นขุนนาง เรื่องที่เกิดขึ้นในวังเขาสมควรต้องรู้อย่างนั้นหรือ!
ซย่าโหวอวี๋ไม่พอใจในคำพูดของหลูยวน ทว่ายามนี้นางสนใจเพียงอาการป่วยของน้องชายมากกว่า แม้แต่อารมณ์ที่จะโมโหหลูยวนก็ไม่มี นางถึงขั้นคิดว่าหากหลูยวนสามารถช่วยชีวิตน้องชายนางได้ เขาอยากทำอะไรก็เชิญตามสบายเถอะ ไม่แน่หากสละบัลลังก์ให้หลูยวนได้ น้องชายนางอาจใช้ชีวิตอย่างมีความสุขมากกว่านี้
“โอรสสวรรค์จะเสพเป็นบางครั้งเวลาที่อารมณ์ไม่ดี” นางพูดเสียงค่อยด้วยสีหน้าเหนื่อยล้า “วันนี้กินอาหารค่ำแล้วเขาก็หัดคัดอักษร บอกว่าเหนื่อยและอยากพักผ่อน เถียนเฉวียนปรนนิบัติโอรสสวรรค์พักผ่อนแล้วก็ทิ้งขันทีไว้สองคนและกลับห้องของตนเอง ยามไฮ่ ขันทีสองคนก็ไปนำสุรามาให้โอรสสวรรค์ รู้ถึงหูเถียนเฉวียน เถียนเฉวียนถึงได้รู้ว่าโอรสสวรรค์เสพหานสือซั่น พอเขารุดมาถึง โอรสสวรรค์ก็หมดสติไปแล้ว เขาไปตามหมอหลวงมาทันที หมอหลวงบอกว่าโอรสสวรรค์มีความร้อนสะสมที่ตับ ได้แต่หาวิธีขจัดความร้อน สั่งยาและป้อนให้แล้วกลับไม่ได้ผล เถียนเฉวียนเห็นว่าผิดปกติ จึงส่งคนไปตำหนักเฟิ่งหยางเพื่อแจ้งข้า ข้าอยู่เป็นเพื่อนเขาจนถึงตอนนี้ โอรสสวรรค์ก็ยังไม่ฟื้นขึ้นมาเลย แต่ข้าส่งคนไปตามเซี่ยตันหยางแล้ว คำนวณเวลาน่าจะใกล้ถึงแล้วล่ะ”
น้ำเสียงของซย่าโหวอวี๋ราบเรียบ คำพูดฉะฉานชัดเจน นางจัดการเรื่องราวได้อย่างเหมาะสมรอบคอบ
หลูยวนเห็นแล้วอดถอนหายใจในใจไม่ได้ หากซย่าโหวอวี๋ไม่ใช่จิ้นหลิงจ่างกงจู่ เด็กที่เฉลียวฉลาดปราดเปรียวเช่นนี้ ผู้ใดจะทำใจรังแกได้ลง!
ช่างน่าเสียดาย!
เขาคิดแต่ไม่แสดงอารมณ์ทางสีหน้า “เซี่ยตันหยางมาก็ใช่ว่าจะมีประโยชน์ กระหม่อมว่ายังต้องคิดหาหนทางอื่น ก่อนหน้านี้ได้ยินว่าหงเซียนเซิงมาเมืองเจี้ยนคังมิใช่หรือ กระหม่อมว่ามิสู้เชิญหงเซียนเซิงมาดูอาการของโอรสสวรรค์ด้วยดีกว่า”
หงเซียนเซิงมีนามว่าฟู่ เป็นลูกหลานสกุลหงในฟั่นหยาง มีชื่อเสียงมาตั้งแต่เล็ก แต่กลับเข้าอารามบวชเป็นนักพรตช่วงวัยกลางคน ใช้ชีวิตอย่างสันโดษบนเขาหลัวฝู เขามีความรู้ในวิชาแพทย์ เชี่ยวชาญการปรุงโอสถ อายุเจ็ดสิบแล้วแต่หูตายังกว้างไกล ฝีเท้ากระฉับกระเฉงแข็งแรง เขาเขียน ‘ตำราเซียน’ ที่เป็นตำราบำรุงร่างกายขึ้นเล่มหนึ่ง ได้รับการยกย่องจากผู้คนอย่างมากจนได้รับฉายาว่า ‘เซียนบนโลกมนุษย์’
ตาของซย่าโหวอวี๋เคยคบหาเป็นสหายกับหงฟู่ นางฟังแล้วอดดีใจไม่ได้ “หงเซียนเซิงมาเจี้ยนคังตั้งแต่เมื่อไร ไฉนจึงไม่ได้ข่าวเลย” คนเช่นหงฟู่นั้น นอกจากจะมีชื่อเสียงบารมีแล้ว ยังมีผู้ยกย่องเลื่อมใสจำนวนมาก แม้แต่โอรสสวรรค์ก็ควรเรียกเขาเข้าเฝ้าสักครั้งหนึ่ง
หลูยวนตอบ “กระหม่อมเองก็เพิ่งทราบ”
ซย่าโหวอวี๋รีบสั่งเถียนเฉวียน “ยังไม่รีบไปบอกเสด็จอาอีก ให้เขาไปเชิญหงเซียนเซิงเข้าวัง”
เถียนเฉวียนรับคำ ลุกขึ้นและเดินออกไปข้างนอก เนื่องจากคุกเข่ามาตลอด ขาจึงแข็งจนไร้ความรู้สึก เขาโซเซเกือบสะดุดล้มลงบนพื้น แต่กลับมีคนหยอกเย้าเถียนเฉวียน “อะไรกันนี่ ข้ายังไม่ทันเข้ามา เจ้าก็คุกเข่าให้ข้าเสียแล้วหรือ!”
น้ำเสียงใสกระจ่างเจือแววหยอกล้อผ่อนคลาย ฟังแล้วมีลักษณะเฉพาะตัวอย่างมาก
ซย่าโหวอวี๋ลุกขึ้นยืนอย่างตื่นเต้นยินดี “ที่แท้ใต้เท้าเซี่ยก็มาถึงแล้ว เชิญเข้ามาเถอะ!”
สิ้นเสียงของนาง ขันทีน้อยก็วิ่งเข้ามาด้วยสภาพที่เหงื่อเต็มศีรษะ รายงานตะกุกตะกัก “จ่างกงจู่ ใต้เท้าเซี่ยมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”