วันเวลาผ่านไปอย่างช้าๆ กับการเฝ้าศพ อากาศแจ่มใสเหมือนเช่นที่เป็นมา ไม่มีฝนเลยสักหยด ดอกไม้ฤดูใบไม้ผลิบานสะพรั่งตระการตา ต้นไม้สีเขียวเจริญงอกงาม
อาเหลียงที่ใช้ชามไม้ใบเล็กตำเมล็ดซิ่งอยู่ใต้ชายคาลอบถอนหายใจ โอรสสวรรค์สวรรคตแล้ว ท้องฟ้ากลับไม่มีฝนเลย เช่นนี้ไม่ยุติธรรมเลยจริงๆ โอรสสวรรค์เป็นคนที่ดีมาก ยามเจอพวกนางที่เป็นนางกำนัลตำแหน่งเล็กๆ ในตำหนักเฟิ่งหยางก็ยังยิ้มให้
นางชะเง้อคอมองเข้าไปด้านในตำหนัก จ่างกงจู่ยังคงนั่งคุกเข่าคัดคัมภีร์อยู่เบื้องหน้าโต๊ะ นางถอนหายใจอีกครั้ง จ่างกงจู่ก็เป็นคนดี ใบหน้าเย็นชาแต่จิตใจงดงาม คัดคัมภีร์ติดต่อกันมาสามวันเช่นนี้ ไม่รู้ว่าร่างกายจะทนรับไหวหรือไม่ หลังครบเจ็ดวันแรกของโอรสสวรรค์ จ่างกงจู่คงจะพักผ่อนบ้างกระมัง!
อาเหลียงบ่นในใจ เห็นเถียนเฉวียนพาบุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งเข้ามา เขามีรูปร่างสูงใหญ่น่าเกรงขาม ศีรษะโพกผ้าสีดำ ร่างกายสวมชุดชาวยุทธ์สีน้ำตาล นางรีบพานางกำนัลรุ่นเล็กหลายคนหลบไปด้านข้าง บุรุษผู้นั้นเดินตามเถียนเฉวียนเข้าไปในตำหนักข้างที่จ่างกงจู่อยู่
“จ่างกงจู่!” ชายหนุ่มหมอบลงกับพื้นอย่างนอบน้อม คารวะซย่าโหวอวี๋อย่างเต็มพิธี
ซย่าโหวอวี๋พยักหน้าอย่างพึงพอใจ “เห็นทีเรื่องที่ให้เจ้าไปทำ เจ้าจะทำสำเร็จแล้ว!”
“เป็นโชคดีที่ไม่ได้ทำให้จ่างกงจู่ผิดหวังพ่ะย่ะค่ะ!” ชายหนุ่มเอ่ยอย่างนอบน้อม ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นแม้แต่น้อย
เถียนเฉวียนใบหน้าเต็มไปด้วยความงุนงง สี่วันก่อน ซย่าโหวอวี๋เขียนจดหมายฉบับหนึ่งให้เขานำไปส่งที่บ้านสกุลเจิ้ง มอบให้เค่อชิง* คนหนึ่งในบ้านสกุลเจิ้ง เช้าตรู่วันนี้ เค่อชิงผู้นั้นก็พาคนที่ชื่ออิ่นผิงผู้นี้มาหาเขา บอกให้เขาพาอิ่นผิงเข้าวัง ทั้งยังบอกว่านี่เป็นคำสั่งของจ่างกงจู่ในจดหมาย
อิ่นผิงงงงวยยิ่งกว่าเถียนเฉวียนเสียอีก สี่วันก่อนเขายังเป็นทหารที่ไม่โดดเด่นผู้หนึ่งในกองกำลังสกุลเจิ้ง จู่ๆ ก็ได้รับความสำคัญจากจิ้นหลิงจ่างกงจู่ เขาไม่รู้เลยจริงๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น! เหตุใดตนจึงได้ดิบได้ดีกะทันหัน ถึงขั้นได้รับความโปรดปรานจากจิ้นหลิงจ่างกงจู่เช่นนี้
มีเพียงซย่าโหวอวี๋ที่รู้ว่าชาติก่อนตอนนางจะออกจากสกุลเซียว น้าชายของนางเป็นห่วงนางมากเพียงใด จึงมอบกองกำลังหนึ่งพันนายให้กับนาง ก่อนออกเดินทางนางไปคารวะเซ่นไหว้เหวินเซวียนฮองเฮากับน้องชาย ระหว่างทางก็เจอกับโจรร้ายเข้า อิ่นผิงคนเดียวสามารถรับมือคนร้ายได้ถึงสิบคน คุ้มกันอยู่หน้ารถเทียมวัวของนางโดยไม่หลบแม้แต่น้อย ภายหลังนางจึงให้เขาเป็นหัวหน้ากองกำลัง หลังเก็บอาเฮ่อมาได้ ยังคงเป็นอิ่นผิงที่ค้นพบว่าอาเฮ่อมีพละกำลังมหาศาลตั้งแต่กำเนิด นางจึงให้อิ่นผิงเป็นอาจารย์ของอาเฮ่อ ผ่านไปอีกไม่กี่ปี อิ่นผิงรู้ตัวว่าพละกำลังสู้อาเฮ่อไม่ได้ จึงยกตำแหน่งหัวหน้ากองกำลังให้อาเฮ่อ ส่วนตัวเขาก็คอยช่วยเหลืออาเฮ่ออยู่ข้างๆ
เขาเป็นคนจงรักภักดีมีคุณธรรม อ่อนน้อมถ่อมตน เป็นบุคคลที่มีความสามารถมากคนหนึ่ง บังเอิญนางมีเรื่องบางอย่างจะยืมมือสกุลเจิ้ง จึงบอกกับเค่อชิงของท่านน้าและเอาตัวเขามาอยู่ข้างกาย
“ดีมาก!” ซย่าโหวอวี๋เอ่ยชมเขาอีกครั้ง “วันนี้ให้เถียนเฉวียนพาเจ้าไปพักผ่อนก่อน พรุ่งนี้เช้าเปลี่ยนชุดขันทีแล้วตามข้าไปตำหนักทิงเจิ้ง”
อิ่นผิงไม่ถามอะไรทั้งนั้น เขาเพียงรับคำอย่างอ่อนน้อม กลับเป็นเถียนเฉวียนที่เบิกตาโตมองซย่าโหวอวี๋ ได้แต่ตกตะลึงพรึงเพริดไปชั่วขณะ
ซย่าโหวอวี๋ไม่ตำหนิเขา ในวังไม่อนุญาตให้คนนอกค้างคืน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอิ่นผิงที่เป็นทหารเลย เถียนเฉวียนนึกขึ้นได้ว่าพรุ่งนี้เป็นวันครบรอบเจ็ดวันหลังการตายของซย่าโหวโหย่วเต้า ซย่าโหวอวี๋จัดการเช่นนี้ เปลือกตาซ้ายของเขาก็กระตุกไม่หยุด มักรู้สึกว่าต้องมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นแน่
เถียนเฉวียนไม่กล้าพูดมากต่อหน้าซย่าโหวอวี๋ เขาจึงแอบไปพบตู้ฮุ่ย อยากให้ตู้ฮุ่ยช่วยเตือนซย่าโหวอวี๋สักหน่อย
“ข้าดูแล้วอิ่นผิงผู้นั้นห้าวหาญเปี่ยมด้วยพละกำลัง คิดว่าคงเป็นผู้มีวิชายุทธ์แข็งแกร่งผู้หนึ่ง แต่ถึงอย่างไรเขาก็ตัวคนเดียว หากล่วงเกินแม่ทัพใหญ่เข้า พวกเราตายไม่เสียดาย แต่ย่อมผิดต่อคำไหว้วานของเหวินเซวียนฮองเฮาก่อนตายใช่หรือไม่”
ความหมายที่แฝงอยู่คือกลัวซย่าโหวอวี๋จะทำอะไรตามอารมณ์ คิดจะลอบสังหารหลูยวน
ตู้ฮุ่ยมุมปากกระตุกนิดๆ นางรู้สึกว่าเถียนเฉวียนคิดมากเกินไป ซย่าโหวอวี๋มีความกล้าหาญมากกลอุบาย ต่อให้จะลอบสังหารหลูยวนจริงก็ไม่มีทางใช้วิธีการที่ง่ายดายและหยาบกระด้างเช่นนี้ แต่ซย่าโหวอวี๋มีแผนการอะไรกันแน่นั้น นางก็เดาไม่ออกเช่นกัน ตู้ฮุ่ยปลอบโยนเถียนเฉวียนหลายคำและไปหาซย่าโหวอวี๋