ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน อริร้ายหวนรัก บทที่ 4
อู่หลิงอ๋องคอยเฝ้าตอนแต่งตัวศพให้ซย่าโหวโหย่วเต้า ส่วนชุยซื่อเฝ้าอยู่ข้างเตียงซย่าโหวอวี๋
ตู้ฮุ่ยเดินเข้ามาอย่างแผ่วเบา แล้วกระซิบข้างหูชุยซื่อ “แม่ทัพใหญ่บอกว่าโอรสสวรรค์จากไปกะทันหัน สุสานยังสร้างไม่เสร็จ บอกให้ตั้งศพไว้ในวังสิบแปดวัน จากนั้นค่อยย้ายศพไปวัดฉือเอิน…”
ตู้ฮุ่ยยังพูดไม่ทันจบก็ได้ยินเสียงแกล๊ง ลูกประคำไม้จันทน์พวงหนึ่งหล่นลงบนพื้น เหลียวมองไปอีกครั้ง ก็เห็นซย่าโหวอวี๋ฟื้นขึ้นมาแล้ว โดยไม่รู้ว่าฟื้นมาตั้งแต่เมื่อไร ยามนี้กำลังนั่งพิงหัวเตียงหอบหายใจอยู่
“ตายจริง!” ชุยซื่อก้าวเข้าไปหยิบเสื้อคลุมกันลมจะคลุมให้ซย่าโหวอวี๋
ซย่าโหวอวี๋กลับพูดเสียงขุ่น “ห้ามตั้งโลงในวัดฉือเอิน!”
ชาติก่อนน้องชายนางก็จากไปอย่างกะทันหัน ไม่เพียงสุสานยังสร้างไม่เสร็จ แม้แต่โลงก็ยังไม่ได้เตรียมเอาไว้ล่วงหน้า ไม่อาจบรรจุศพลงโลงได้ จึงต้องตั้งศพไว้ในวังสิบแปดวัน จากนั้นค่อยย้ายไปวัดฉือเอิน พวกเขามัวแต่แก่งแย่งชิงดีเรื่องการแต่งตั้งฮ่องเต้องค์ใหม่ ไปๆ มาๆ รอจนเรื่องราวยุติลง เซียวหวนสนับสนุนซย่าโหวโหย่วฝูขึ้นครองราชย์แล้ว โลงศพของซย่าโหวโหย่วเต้าถึงได้ถูกอัญเชิญเข้าไปในสุสาน เพียงแต่กว่าจะถึงตอนนั้น วัดฉือเอินที่หลูยวนสร้างให้มารดาของเขาก็ถูกชาวบ้านเล่าลือกันไปว่าเป็นวัดของราชวงศ์แล้ว ทั้งยังยกย่องวัดฉือเอินเป็นวัดอันดับหนึ่งแห่งยุค ลือกันว่าที่เป็นเช่นนี้เพราะราชวงศ์ต้องการขอบคุณมารดาของหลูยวนที่อบรมสั่งสอนบุตรมาเป็นอย่างดี จึงได้สร้างวัดนี้ขึ้นมา ราษฎรหลายคนต่างไปจุดธูปกราบไหว้บูชา ทำให้ชื่อเสียงของสกุลหลูขจรขจายยิ่งกว่าเดิม ส่งผลให้เซียวหวนต้องพบเจอกับอุปสรรคในการโค่นล้มหลูยวนเพิ่มขึ้นมาไม่น้อย
ซย่าโหวอวี๋เลิกผ้าห่มจะลงจากเตียง “จะตั้งโลงก็ต้องตั้งไว้ในวัดวั่นเฉิง”
บรรพบุรุษของซย่าโหวอวี๋ได้รับตำแหน่งฮ่องเต้มาจากการสละบัลลังก์ เกรงว่าจะมีคนไม่พอใจอยู่ จึงตั้งกฎไว้ว่า ‘ไม่ก่อเนินดิน ไม่ปลูกไม้ใหญ่ ไม่ต้องเซ่นไหว้’ เหวินเซวียนฮองเฮากับอู่จงฮ่องเต้ถูกฝังรวมกัน เวลาที่ซย่าโหวอวี๋กับซย่าโหวโหย่วเต้าอยากไปเซ่นไหว้มารดา โดยทั่วไปล้วนไปประกอบพิธีในวัดวั่นเฉิง กล่าวได้ว่าวัดวั่นเฉิงเป็นวัดที่ซย่าโหวอวี๋พี่น้องยอมรับ
นางไม่ยอมให้หลูยวนใช้ประโยชน์จากการตายของน้องชายแปะทองสร้างชื่อเสียงให้กับสกุลหลูเป็นอันขาด ซย่าโหวอวี๋แกะมือชุยซื่อออก นางเกล้ามวยผมเพียงลวกๆ และก้าวฉับๆ ไปยังตำหนักกลาง
อู่หลิงอ๋องและคนอื่นๆ ไม่สนใจว่าโลงศพของซย่าโหวโหย่วเต้าจะตั้งที่ใด สิ่งที่พวกเขาใส่ใจในตอนนี้คือจะเลือกผู้ใดเป็นโอรสสวรรค์ อีกทั้งทางที่ดีที่สุดคือกำหนดตัวโอรสสวรรค์ให้เรียบร้อยก่อนแล้วค่อยเคลื่อนย้ายศพของซย่าโหวโหย่วเต้าไป เมื่อเป็นเช่นนี้เวลาที่ฝังซย่าโหวโหย่วเต้าย่อมจะมีคนเซ่นไหว้เขา
ถึงอย่างไรโอรสที่ยังมีชีวิตอยู่ของอู่จงฮ่องเต้ก็เหลือเพียงสองคน ไม่ใช่หนึ่งก็เป็นสอง ตามความเห็นของอู่หลิงอ๋องควรแต่งตั้งคนโต แต่หลูยวนกลับลังเล นัยที่กล่าวออกมาคือมารดาของซย่าโหวโหย่วอี้เป็นหญิงรับใช้ที่มีชาติกำเนิดต่ำต้อย ซย่าโหวโหย่วฝูอายุน้อยเกินไป เขานึกอยากแต่งตั้งบุตรชายคนโตของซีไห่อ๋อง น้องชายร่วมอุทรของอู่จงฮ่องเต้ที่เสียชีวิตไปตั้งแต่เยาว์วัยขึ้นเป็นฮ่องเต้มากกว่า
แต่ปีนี้ซีไห่อ๋องคนปัจจุบันก็เพิ่งอายุเจ็ดขวบเท่านั้น ไม่ได้โตกว่าซย่าโหวโหย่วฝูสักเท่าไร! อีกอย่างทายาทของราชวงศ์สูงศักดิ์เพราะบิดา ลำดับอาวุโสจากทายาทสายตรงและบุตรคนโตแล้ว จะคิดว่าซย่าโหวโหย่วอี้ไม่อาจสืบบัลลังก์ได้เพราะมารดาเป็นหญิงรับใช้ได้อย่างไร
เห็นชัดว่าหลูยวนต้องการแต่งตั้งฮ่องเต้หุ่นเชิด เขาจะได้ควบคุมราชสำนักต่อไป!
อู่หลิงอ๋องลุกพรวดหมายจะโต้แย้ง ใครจะไปรู้ว่าเขายังไม่ทันเอ่ยอะไร ซย่าโหวอวี๋ก็บุกเข้ามา ยิ้มเย็นพูดเสียงดัง “ข้าไม่เห็นด้วยที่จะให้ตั้งศพของโอรสสวรรค์ไว้ในวัดฉือเอิน จะตั้งก็ควรตั้งไว้ในวัดวั่นเฉิง!”
ซย่าโหวอวี๋ปรากฏตัวขึ้นกะทันหัน สายตาของทุกคนจึงเลื่อนไปที่นาง ซย่าโหวอวี๋ถูกคนจับจ้องตั้งแต่เล็กจนโต หลังแยกกันอยู่กับเซียวหวน ไม่ว่านางเดินไปที่ใดก็ล้วนมีผู้คนคอยชี้นิ้ววิพากษ์วิจารณ์อยู่ข้างหลัง แม้ทุกคนที่นั่งอยู่ล้วนเป็นขุนนางที่มีอำนาจและขุนนางที่ปรึกษา แต่สายตาเช่นนี้ก็ไม่ได้ทำให้นางรู้สึกว่าตนเองอ่อนแอแต่อย่างใด
ซย่าโหวอวี๋พูดอีกครั้ง “ข้าไม่เห็นด้วยที่จะให้ตั้งโลงศพของโอรสสวรรค์ในวัดฉือเอิน หากจะตั้งก็ควรตั้งในวัดวั่นเฉิง!”
หลูยวนมีสีหน้าไม่พอใจยิ่ง อู่หลิงอ๋องกลับอยากจะปิดปากซย่าโหวอวี๋เอาไว้ หลูยวนจะแต่งตั้งเชื้อสายของซีไห่อ๋อง หากไม่บรรลุเป้าหมายเขาจะต้องก่อกวนต่อไปแน่ เวลานี้ยังจะขัดแย้งกับเขาเรื่องสถานที่ตั้งโลงศพของซย่าโหวโหย่วเต้าไปเพื่ออะไร มิสู้ยอมถอยหนึ่งก้าว แล้วค่อยไปต่อสู้กับหลูยวนในเรื่องการแต่งตั้งฮ่องเต้องค์ใหม่เสียดีกว่า
“วัดฉือเอินก็ไม่เลว!” เขาพูดและรีบส่งสายตาให้ซย่าโหวอวี๋ “ตั้งอยู่ในเมือง เวลาไปเซ่นไหว้สะดวกมากนัก”
ซย่าโหวอวี๋เห็นอู่หลิงอ๋องส่งสายตาให้นางแล้วก็รู้สึกหนาวเยือกไปทั้งตัว นี่หรืออาของนาง นี่หรือคนในสกุลของนาง น้องชายนางเพิ่งตายจากไป พวกเขาก็ลืมเลือนน้องชายนางไปเสียแล้ว คิดแต่จะตักตวงผลประโยชน์ให้ตนเองเช่นไรจึงจะได้มีอำนาจบารมีมากยิ่งขึ้น
ซย่าโหวอวี๋รู้ตั้งแต่ตอนที่มารดาค่อยๆ ห่างเหินกับบิดาแล้ว แต่นางมักคิดว่าเรื่องราวทุกเรื่องย่อมมีข้อยกเว้น ทว่าความจริงกลับบอกนางว่า เป็นนางเองที่ไร้เดียงสาเกินไป!
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้ใดขึ้นเป็นโอรสสวรรค์จะเกี่ยวอะไรกับนางอีกเล่า น้องชายนางจากไป มีแต่นางที่เสียใจเพราะเขา ผ่านไปอีกหลายปีก็มีเพียงนางที่จดจำเขาได้ มีเพียงนางที่คิดถึงเขา เหมือนเช่นตอนที่เขาจากไป คนเดียวที่คิดถึงและห่วงใยเขาก็มีเพียงนาง!