ซย่าโหวอวี๋คิดถึงคำพูดก่อนตายของน้องชาย ขอบตาพลันเปียกชื้นอย่างห้ามไม่อยู่ ท่าทีของนางเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าว “เรื่องนี้ไม่ต้องหารือแล้ว! ข้าชอบวัดวั่นเฉิง อยากเฝ้าศพให้โอรสสวรรค์ที่นั่น”
ทุกคนในตำหนักกลางเข้าใจความหมายของซย่าโหวอวี๋ได้ทันที…หากตั้งโลงศพของโอรสสวรรค์ที่วัดวั่นเฉิง นางจะอยู่ห่างจากเรื่องวุ่นวายทางโลก เฝ้าศพให้โอรสสวรรค์อย่างสงบเสงี่ยม ราชสำนักเกิดอะไรขึ้นนางล้วนไม่สนใจถามไถ่ แต่หากตั้งโลงศพของโอรสสวรรค์ที่วัดฉือเอิน นางจะไม่ไปเฝ้าศพและแทรกแซงการคัดเลือกฮ่องเต้องค์ใหม่
ซย่าโหวอวี๋ที่ไม่มีซย่าโหวโหย่วเต้าแล้วก็มิต่างจากแม่เสือที่ไร้กรงเล็บ ตัวนางเองไม่มีอะไรน่ากลัวอีกแล้ว แต่จนใจที่คนในตำหนักกลางแห่งนี้ล้วนเต็มไปด้วยอุบาย ซย่าโหวอวี๋เองก็รู้จักประเมินสถานการณ์เป็นอย่างดี คนที่ชอบใช้ ‘กลยุทธ์เชื่อมแนวขวางประสานแนวดิ่ง’ อย่างนาง ผู้ใดก็ไม่กล้ารับรองว่านางจะไม่จับปลาในน้ำขุ่น ทำให้เรื่องราววุ่นวายกว่าเดิม สุดท้ายตนเองก็กลายเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด!
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเบื้องหลังนางยังมีเซียวหวนอีกคน!
อู่หลิงอ๋องและคนอื่นๆ ล้วนมีสีหน้าเปลี่ยนไป เซี่ยตันหยางตัดสินใจได้เฉียบขาดรวดเร็ว “จ่างกงจู่ตรัสมีเหตุผล! ในอดีตโลงศพของเหวินเซวียนฮองเฮาก็ตั้งอยู่ในวัดวั่นเฉิง โลงศพของโอรสสวรรค์ตั้งไว้ในวัดวั่นเฉิงชั่วคราวก็เป็นการเหมาะสมแล้ว”
หลังจากเหวินเซวียนฮองเฮาป่วยตาย อู่จงฮ่องเต้อยากสร้างสุสานให้นาง ทว่าคนสกุลเจิ้งกลับไม่เห็นด้วย สองฝ่ายเผชิญหน้ากันหนึ่งเดือนเต็มกว่าจะได้ฝังเหวินเซวียนฮองเฮา ระหว่างนั้นโลงศพก็ถูกตั้งไว้ในวัดวั่นเฉิง
ซูเฟยจึงต้องโชคร้ายเพราะเหตุนี้
ก่อนอู่จงฮ่องเต้เสียชีวิต ซย่าโหวอวี๋ปรนนิบัติอู่จงฮ่องเต้ที่ข้างเตียง ไม่รู้ว่านางพูดอะไรกับอู่จงฮ่องเต้บ้าง อู่จงฮ่องเต้จึงมีราชโองการให้ซูเฟยตายเป็นเพื่อนหลังจากเขาตาย
หลังซูเฟยตายไป ซย่าโหวโหย่วเต้าก็ขึ้นครองราชย์ ซย่าโหวอวี๋ทิ้งองค์ชายรองไว้ในตำหนักบรรทมเดิมของเขา ทำให้องค์ชายรองหวาดกลัวจนตาย
หลูยวนสะดุ้งในใจ เห็นใบหน้าสุภาพอ่อนโยนของซย่าโหวอวี๋นานวันเข้าก็ทำให้เขาหลงลืมไปว่าซย่าโหวอวี๋เป็นสตรีที่ใจคอและวิธีการโหดเหี้ยมเพียงใด! เขาพูดกับเซี่ยตันหยาง “เช่นนั้นก็ตั้งโลงที่วัดวั่นเฉิง”
นี่ทุกคนเป็นอะไรไป อู่หลิงอ๋องปากอ้าตาค้าง เขาเหลือบมองหลูยวนแวบหนึ่ง หลูยวนกลับไม่เหลือบแลเขาแม้แต่น้อย เขาจึงได้แต่ขมวดคิ้ว พึมพำแสดงออกว่าเห็นด้วย
ซย่าโหวอวี๋ผงกศีรษะอย่างพึงพอใจ นางเดินออกไปอย่างรวดเร็วดุจสายลมเหมือนตอนที่มา
ตำหนักกลางเงียบงันไปครู่หนึ่ง ยังคงเป็นอู่หลิงอ๋องที่กระแอมไอทำลายความเงียบ ลูบศีรษะพลางเอ่ยว่า “จ่างกงจู่มีความสามารถมาแต่ไหนแต่ไร วังหลวงมีนางอยู่ พวกเราล้วนไม่ต้องเป็นกังวล ตอนนี้มาดูแค่ว่าจะแต่งตั้งผู้ใดขึ้นเป็นฮ่องเต้!”
ทุกคนเริ่มหารือกันอีกครั้ง
ซย่าโหวอวี๋กลับถึงตำหนักบรรทมด้วยสีหน้าเรียบเฉย นางถามอย่างมีสติ “พวกคนที่ปรนนิบัติโอรสสวรรค์เล่า”
ตู้ฮุ่ยตกใจจนปากสั่น รีบเอ่ยขึ้น “มอบหมายให้เถียนเฉวียนจัดการแล้วเพคะ!”
ซย่าโหวอวี๋ยิ้มเย็น “แล้วตัวเขาเองเล่า ไม่มีสิ่งใดจะพูดกับข้าเลยหรือ”
ตู้ฮุ่ยตาแดง นางเอ่ยตอบเสียงค่อย “เขาบอกว่าอยากปรนนิบัติโอรสสวรรค์เป็นครั้งสุดท้าย หาไม่ลงไปในปรโลกแล้วย่อมไม่อาจชี้แจงกับฮองเฮาได้เพคะ”
ซย่าโหวอวี๋ไม่พูดอะไร
ตู้ฮุ่ยเสียใจอย่างมากจึงตัดสินใจไม่คิดถึงเรื่องพวกนี้อีก นางเอ่ยเสียงแผ่ว “จ่างกงจู่ ท่านจะไม่อยู่ในตำหนักกลางคุยกับแม่ทัพใหญ่จริงๆ หรือเพคะ”
“คุยอะไรล่ะ” ซย่าโหวอวี๋พูดอย่างเย็นชา “เข้าไปมีส่วนร่วมในการแต่งตั้งฮ่องเต้ด้วยหรือ”
ตู้ฮุ่ยเห็นซย่าโหวอวี๋มาตั้งแต่เล็ก ย่อมรู้ว่าซย่าโหวอวี๋ฟังคำพูดนางแล้วไม่พอใจมากเพียงใด แต่เรื่องบางอย่างนางจำเป็นต้องเอ่ยเตือนซย่าโหวอวี๋ ดังนั้นจึงได้แต่ฝืนใจเอ่ยว่า “ไม่มีจ่างกงจู่คอยดูอยู่ แม่ทัพใหญ่จะเหิมเกริมยิ่งกว่านี้นะเพคะ!”