ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้แล้วเกี่ยวอะไรกับนางเล่า ชาติก่อนนางไม่กระจ่างแจ้งถึงได้เผลอเอาตัวเข้าไปพัวพัน
ความคิดหนึ่งพลันผุดขึ้นมา สีหน้าของซย่าโหวอวี๋แปลกไปเล็กน้อย ต่อให้นางเข้าไปพัวพันก็ยังคงพ่ายแพ้เพราะเซียวหวนอยู่ดี
ชาตินี้นางไม่ได้ตั้งใจส่งจดหมายให้เซียวหวน เกรงว่าเซียวหวนคงมิอาจรู้ความเคลื่อนไหวในเมืองเจี้ยนคังได้ทันท่วงทีเหมือนเมื่อชาติก่อน เขาย่อมไม่อาจป้องกันเหตุไม่คาดฝันล่วงหน้า ความปรารถนาของหลูยวนน่าจะเป็นจริงกระมัง!
หากเซียวหวนรู้เข้าจะต้องโมโหจนคลั่งแน่ ซย่าโหวอวี๋คิดแล้วก็อดหัวเราะไม่ได้ ทว่าหลังจากนั้นนางก็คิดไปถึงอ้อมกอดอันอบอุ่นในความมืดที่นางมิอาจปฏิเสธได้อีกครั้ง รอยยิ้มของนางลดเลือนไปทีละนิด สีหน้าค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม
หากระหว่างนางกับเขามีเพียงความรัก ความชัง ความแค้นง่ายๆ เพียงเท่านี้จะดีสักเพียงใด! หรือว่าให้นางรู้สาเหตุที่เขาช่วยนางในตอนนั้นก็ยังดี ทว่าตอนนี้ทุกสิ่งอย่างกลับเลือนรางอยู่เพียงแค่ในความทรงจำ อดีตเหล่านั้นเป็นเช่นกระบี่เล่มหนึ่งที่ตั้งอยู่เหนือศีรษะนาง หากไม่ตกลงมาตัดอดีตระหว่างพวกเขา นางก็ไม่อาจอยู่อย่างสบายใจได้
ซย่าโหวอวี๋ตัดสินใจที่จะตอบแทนบุญคุณที่เขาช่วยชีวิต หากชดใช้สิ่งที่เกิดขึ้นในชาติที่แล้วจนหมดสิ้น นางย่อมสามารถก้าวออกจากสนามการต่อสู้ที่ห้ำหั่นนี้ได้อย่างสบายใจ
“ส่งจดหมายไปแจ้งทางฟู่หม่าสักหน่อยเถอะ!” ซย่าโหวอวี๋สั่งตู้ฮุ่ย แม้นางจะตัดสินใจช่วยเซียวหวนก็จริง แต่นางก็ไม่อยากให้คนที่เคยสร้าง ‘ความขยะแขยง’ ให้ตนเองในชาติก่อน ต้องกลับมาสร้างความขยะแขยงให้ตนเองต่อในชาตินี้อีก
นึกไม่ถึงว่าตู้ฮุ่ยจะรอบคอบกว่าซย่าโหวอวี๋เสียอีก นางเอ่ยตอบเสียงค่อย “ข้าให้คนแอบนำจดหมายไปให้ฟู่หม่าอย่างเงียบๆ แล้วเพคะ” ในความคิดของตู้ฮุ่ย ซย่าโหวอวี๋ในยามนี้กำลังอ่อนแอ ควรดึงเซียวหวนกลับมาปกป้องนางถึงจะถูก
ซย่าโหวอวี๋จะไม่รู้ความคิดของตู้ฮุ่ยได้เช่นไร ชาติก่อนที่นางร้อนใจส่งจดหมายถึงเซียวหวน มิใช่เพราะคิดเช่นนี้หรอกหรือ เพียงแต่คิดไม่ถึงว่านางที่เห็นเซียวหวนเป็นพวกเดียวกันนั้น เซียวหวนกลับมองนางเป็นเพียงขั้นบันได นางเหยียดปาก เผยรอยยิ้มเสียดสีออกมา
เช่นนั้นนางจะคอยดูว่าชาตินี้เขาจะยังใช้นางเป็นขั้นบันไดได้อีกหรือไม่!
ซย่าโหวอวี๋เอ่ยเสียงขรึม “เจ้าไปตามเถียนเฉวียนมา”
ตู้ฮุ่ยตะลึงงัน จากนั้นจึงรับคำติดๆ กัน มิอาจข่มความตื่นเต้นยินดีในใจเอาไว้ได้เลย ได้แต่รีบก้าวเร็วๆ ออกจากตำหนักทิงเจิ้ง
ซย่าโหวอวี๋มองท้องฟ้ากระจ่างใส ยืนอยู่ตามลำพังเนิ่นนาน
ในตำหนักกลาง แม้หลูยวนจะมีอำนาจสูงสุดในตอนนี้ แต่การที่เขาอยากละทิ้งโอรสทั้งสองของอู่จงฮ่องเต้ แล้วหันไปแต่งตั้งคนอื่นเป็นโอรสสวรรค์แทนก็หาใช่เรื่องง่ายดายถึงเพียงนั้น ขุนนางที่มีสิทธิ์มีส่วนร่วมในเรื่องนี้ต่างปะทะคารมกัน สุดท้ายไม่ว่าผู้ใดก็มิอาจโน้มน้าวใครได้ แต่ละคนต่างไม่มีใครยอมถอย
หากเป็นเช่นนี้ต่อไปก็จะมีคนรู้เรื่องที่หารือในตำหนักกลางมากขึ้นทุกที คนที่อยากเข้ามามีส่วนร่วมเพื่อแบ่งผลประโยชน์ก็จะมากขึ้นเรื่อยๆ
หลูยวนปวดหัวเหลือเกิน เขาอาศัยช่วงเวลาอาหารกลางวันไปยืนอยู่ที่ป่าไผ่หลังตำหนักคนเดียวพลางนวดขมับ
หลูไหวเดินเข้ามาเงียบๆ “พี่ชาย จะให้จิ้นหลิงช่วยพูดหรือไม่ ก่อนโอรสสวรรค์สิ้น ทรงอนุญาตให้นางไปร้องทุกข์ที่ศาลบรรพบุรุษของราชวงศ์ได้”
เรื่องใหญ่ของบ้านเมืองมีเพียงธรรมเนียมเซ่นไหว้และสงคราม ศาลบรรพบุรุษของราชวงศ์ถือเป็นศาลเจ้าประจำตระกูลของโอรสสวรรค์ สร้างขึ้นเพื่อเซ่นไหว้บรรพบุรุษ ต่อให้โอรสสวรรค์อยากเข้าไปกราบไหว้ก็ต้องให้สำนักราชเลขาเลือกเฟ้นวันดีล่วงหน้าหลายวัน ใช่ว่าอยากไปก็จะไปได้ในทันที