ซย่าโหวโหย่วเต้าทำเช่นนี้เท่ากับมอบกระบี่อาญาสิทธิ์ที่มองไม่เห็นเล่มหนึ่งให้ซย่าโหวอวี๋ แม้จะฆ่าคนไม่ได้ แต่ก็ทำลายชื่อเสียงของคนได้ ใต้หล้านี้ไม่ว่าการเป็นคนหรือเป็นขุนนาง หากไร้ซึ่งชื่อเสียงจะได้รับการเคารพยกย่องได้อย่างไร จะได้รับการนับหน้าถือตาได้อย่างไร
หลูยวนฟังคำพูดหลูไหวแล้วอดแค่นหัวเราะออกมาไม่ได้ ก่อนหน้านี้หนึ่งชั่วยามเขายังกลัวว่าซย่าโหวอวี๋จะออกมาก่อกวน จึงรับปากว่าจะให้ตั้งโลงศพของซย่าโหวโหย่วเต้าไว้ในวัดวั่นเฉิง เพียงพริบตาเดียว หลูไหวกลับเสนอให้เขาร่วมมือกับซย่าโหวอวี๋เสียแล้ว
หลูยวนรู้ว่านี่เป็นวิธีการที่ดีที่สุด แต่เขาก้าวข้ามทิฐิในใจไปไม่ได้ เขาตอบอย่างหลบเลี่ยง “เรื่องนี้วันหน้าค่อยหารือเถอะ ไปแจ้งซีไห่อ๋องก่อน หากสำเร็จต้องรีบพาคนเข้าเมืองหลวง ต่อให้ไม่สำเร็จ ฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ เขามาถวายบังคมก็นับว่าสมควรแล้ว”
หลูไหวรับคำพลางยิ้มพูด “ข้าจะไปจัดการเดี๋ยวนี้!” จากนั้นจึงออกจากตำหนักทิงเจิ้งไป
หลูยวนเดินวนกลับไปมาอยู่ในลานคนเดียวหลายรอบ เขาหันกลับไปชี้ขันทีน้อยคนหนึ่งที่เข้าเวรอยู่ด้านข้าง “ไปตามขันทีเถียนมาพบข้า”
ขันทีน้อยผู้นั้นวิ่งหายไป ไม่นานก็ย้อนกลับมา ตอบเสียงหอบแฮก “ขันทีเถียนไม่อยู่ในวัง บอกว่ารับคำสั่งของจ่างกงจู่ไปที่จวนจ่างกงจู่ขอรับ”
หลูยวนแปลกใจเล็กน้อย เขาคิดว่าเกิดเรื่องกับซย่าโหวโหย่วเต้าเช่นนี้ ซย่าโหวอวี๋จะฆ่าเถียนเฉวียนเสียอีก คิดไม่ถึงว่านางจะยังใช้งานเขาอยู่ เห็นได้ชัดว่าในใจซย่าโหวอวี๋มองเถียนเฉวียนเป็นคนสำคัญ
นี่นับเป็นเรื่องที่ดี! หลูยวนขบคิดในใจ เห็นเซี่ยตันหยางเดินออกมาจากตำหนักกลาง เขาก็พยักหน้าให้เซี่ยตันหยาง
สกุลเซี่ยเหมือนกับสกุลหลู ล้วนแต่เป็นตระกูลสูงศักดิ์ทางตอนเหนือที่ติดตามหมิงจงอพยพลงใต้ สมัยเยาว์วัยเขากับเซี่ยตันหยางมีความสามารถสูสีใกล้เคียงกัน ยากจะตัดสินแพ้ชนะ น่าเสียดายที่เซี่ยตันหยางหยิ่งทะนงเกินไป ประพฤติตัวไม่สำรวม จึงได้ถูกเขานำหน้าไปเช่นนี้
เซี่ยตันหยางยิ้มประสานมือ เดินเข้ามาคุยกับเขา “เหตุใดแม่ทัพใหญ่ต้องละทิ้งคนที่อยู่ใกล้ไปเสาะหาคนที่อยู่ไกลด้วย มิสู้แต่งตั้งองค์ชายเจ็ดที่เกิดจากเฝิงเฟย ท่านเห็นเป็นเช่นไร”
หลูยวนตอบด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่จริงใจ “ข้ายังคงรู้สึกว่าไม่ควรแต่งตั้งทายาทของอู่จง เจ้าก็เห็นโอรสสวรรค์แล้ว เพียงสิบสี่ชันษาเท่านั้น บทจะจากไปก็จากไปโดยง่าย ซีไห่อ๋องเติบโตอยู่ข้างนอก น่าจะดีกว่าตงไห่อ๋องกับหลางหยาอ๋องสักหน่อย การเปลี่ยนฮ่องเต้บ่อยครั้งย่อมไม่ใช่เรื่องดีอะไร…หลายวันก่อนหน้านี้ เป่ยเหลียงก็เพิ่งแต่งตั้งกู้ซย่าขึ้นเป็นต้าซือหม่า”
เซี่ยตันหยางเงียบไปทันใด
กู้ซย่าเป็นลูกหลานสกุลกู้ หนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของอู๋จงเดิม ตอนสกุลกู้เกิดเรื่องกบฏสี่แซ่ในอู๋ บิดาเขากำลังเดินทางท่องไปในเป่ยเหลียง กู้ซย่าได้เป็นขุนนางที่ปรึกษาของเป่ยเหลียงเหวินตี้ ที่เป่ยเหลียงสามารถรวบรวมดินแดนตอนเหนือได้นั้น เป็นเพราะกู้ซย่าออกกลยุทธ์ให้มากมาย บัดนี้เป่ยเหลียงเหวินตี้แต่งตั้งเขาเป็นต้าซือหม่าแล้ว กู้ซย่าย่อมขึ้นชื่อเรื่องการทำศึกสงคราม เห็นได้ว่าเป่ยเหลียงมีใจจะทำศึกกับทางใต้
เซี่ยตันหยางขบคิดดูแล้ว จึงได้แต่เอ่ยอย่างจนใจ “เช่นนั้นก็ทำตามที่แม่ทัพใหญ่ว่า!”
หลูยวนโล่งอก ต่อให้เซี่ยตันหยางคัดค้าน แผนการของเขาก็ใช่ว่าจะถูกทำลาย แต่ถึงอย่างไรก็ย่อมยุ่งยากอยู่เล็กน้อย เป็นเช่นนี้ย่อมดีที่สุด เขาพูด “เรื่องนี้อย่าเพิ่งป่าวประกาศออกไป เชิญซีไห่อ๋องเข้าเมืองหลวงก่อนค่อยว่ากัน เรื่องนี้ยังต้องขอให้ตันหยางช่วยจัดการด้วย!”
ทำเช่นนี้เท่ากับแบ่งความดีความชอบในการสนับสนุนฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์ให้กับสกุลเซี่ยครึ่งหนึ่ง เซี่ยตันหยางทั้งยินดีและคาดไม่ถึง เขายิ้มพูด “เช่นนั้นข้าจะไปเตรียมการ”
หลูยวนผงกศีรษะ แยกกับเซี่ยตันหยางและกลับเข้าไปในตำหนักกลาง พวกอู่หลิงอ๋องยังคงโต้เถียงอยู่ข้างนอกไม่หยุด หงฟู่กลับไม่อยู่ในตำหนักแล้ว หลูยวนเอ่ยถามขันทีน้อยข้างกาย “หงเซียนเซิงล่ะ”
หงฟู่แทบจะเป็นคนที่ก้าวพ้นจากเรื่องทางโลกแล้ว เดิมทีเรื่องการแต่งตั้งฮ่องเต้นี้เขาควรจะไม่สนใจสิ คิดไม่ถึงว่าเขาจะอยู่ต่อ แม้ว่าตั้งแต่ต้นจนจบหงฟู่จะไม่ได้พูดอะไรเลย แต่กลับสร้างความรู้สึกแปลกประหลาดแก่หลูยวนอย่างมาก
ขันทีน้อยตอบอย่างนอบน้อม “หงเซียนเซิงไปตำหนักบรรทม บอกว่าจะสวด ‘คัมภีร์หนานหวา’ ให้โอรสสวรรค์สักสองสามหน้าขอรับ”
เรื่องนี้สอดคล้องกับท่าทีของหงฟู่ หลูยวนพูด “เจ้าไปดูเขาสักหน่อย อย่าปล่อยให้หงเซียนเซิงเหน็ดเหนื่อยเกินไป คอยสังเกตให้ดี น้ำชาและขนมอย่าได้ขาด” ขันทีน้อยรับคำและถอยออกไป