ซย่าโหวอวี๋กับหงฟู่นั่งคุกเข่าอยู่หัวเตียงกับท้ายเตียงข้างกายซย่าโหวโหย่วเต้า หงฟู่มือประคอง ‘คัมภีร์หนานหวา’ เล่มหนึ่ง แต่ดวงตากลับปิดลง ท่องตำราด้วยน้ำเสียงสูงต่ำเป็นจังหวะไพเราะ ท่วงทำนองเนิบช้าและอ่อนโยนของเขาทำให้อารมณ์ของซย่าโหวอวี๋ค่อยๆ สงบลง
ขันทีน้อยผู้นั้นไม่กล้ารบกวน จึงแค่คุกเข่าหมอบรออยู่หน้าประตู
ผ่านไปเนิ่นนาน หงฟู่จึงหยุด อาเหลียงยกน้ำชาไปให้หงฟู่ทันที
หงฟู่จิบคำเล็กหนึ่งคำ พูดกับซย่าโหวอวี๋เสียงอ่อนโยน “วันข้างหน้าจ่างกงจู่มีแผนการเช่นไร”
มีแผนการเช่นไร…ซย่าโหวอวี๋เหม่อลอยเล็กน้อย
ชาติก่อนนางอยากกลับไปสกุลเซียว เป็นสะใภ้ที่เหมาะสมของสกุลเซียว แต่นางยังไม่ทันได้กลับสกุลเซียว สองคนก็ทะเลาะกันเสียก่อน นางถูกสถานการณ์บีบบังคับจึงจำต้องกลืนโทสะนี้ลงไปชั่วคราว เล่นละครเป็นสามีภรรยาที่รักใคร่ลึกซึ้งกับเซียวหวน จวบจนหนึ่งปีให้หลังจึงค่อยย้ายออกจากสกุลเซียว
ชาตินี้นางรู้ว่าเซียวหวนจะทรยศนาง แล้วนางยังจะเล่นละครกับเขาอีกได้อย่างไร “ข้าตั้งใจจะไปเฝ้าศพของโอรสสวรรค์ที่วัดวั่นเฉิงสักระยะ” นางตอบเนิบช้า “หลังจากนั้นจะย้ายไปอยู่ที่ไร่ชานเมืองซึ่งเป็นสินเจ้าสาวของข้าชั่วคราว” ระหว่างนี้นางยังต้องเก็บอาเฮ่อกลับมา หาไม่แล้วผู้ใดจะเป็นหัวหน้ากองกำลังของนาง ผู้ใดจะเป็นคนปกป้องนาง พอคิดถึงเด็กที่เอาแต่พึ่งพาตนเองผู้นั้นแล้ว อารมณ์ของนางก็ดีขึ้นไม่น้อย
ซย่าโหวอวี๋เป็นพี่น้องที่ออกเรือนแล้ว ตามธรรมเนียมต้องสวมชุดต้ากง* หงฟู่ยังคิดว่าซย่าโหวอวี๋จะไปไว้ทุกข์ที่ไร่ชานเมืองเช่นนี้ เขารู้สึกว่าก็ดีเหมือนกัน จึงตอบว่า “หลังครบรอบเจ็ดวันของโอรสสวรรค์ ข้าจะออกจากเมืองเจี้ยนคังแล้ว ข้ากับตาของเจ้านับเป็นสหายที่สนิทสนมกัน หากเจ้ามีเรื่องใหญ่อะไรก็สามารถมาหาข้าได้!” พูดจบเขาก็หยิบหยกประดับชิ้นหนึ่งที่เนื้อหยกดูธรรมดามากออกมา “หรือให้คนนำหยกประดับนี้มาส่งข่าวกับข้าก็ได้”
เมื่อครู่เขาเห็นชัดเจน หลูยวนมักใหญ่ใฝ่สูง ซย่าโหวอวี๋อาจไม่ได้อยู่อย่างสงบ
ชาติก่อนนางไม่ได้เรียกตัวเซี่ยตันหยางเข้าวังและไม่ได้พบกับหงฟู่ ยิ่งไม่ได้รับของจากหงฟู่ จึงไม่รู้เลยว่ายังมีคนผู้หนึ่งที่ยินดีช่วยเหลือนางโดยไม่หวังผลตอบแทนเช่นนี้ นางโค้งคำนับอีกฝ่ายจนสุด คารวะหงฟู่อย่างเต็มพิธี
หงฟู่ถอนหายใจเบาๆ ก่อนเดินออกจากตำหนักบรรทม
ซย่าโหวอวี๋เก็บ ‘คัมภีร์หนานหวา’ ที่หงฟู่ทิ้งไว้ในห้องขึ้นมา นางพลิกไปยังหน้าที่หงฟู่อ่านถึงและท่องคัมภีร์ต่อ
หงฟู่ออกจากวังไป หลูยวนกับเซี่ยตันหยางก็นั่งเงียบอยู่ในตำหนัก ฟังอู่หลิงอ๋องและคนอื่นๆ โต้เถียงกันต่อ เพียงแต่หลูยวนรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ตั้งแต่หลังอาหารกลางวัน เขาก็ไม่เห็นเงาของเถียนเฉวียนอีกเลย จิ้นหลิงให้เขาไปเอาอะไร เถียนเฉวียนถึงได้ไปนานเพียงนี้
ตอนกลางคืน ขุนนางสำคัญหลายคนอยู่กินอาหารในวัง หารือเรื่องการประกาศข่าวการสวรรคตพลางเฝ้าศพโอรสสวรรค์ไปด้วย
ซย่าโหวอวี๋กลับถึงตำหนักเฟิ่งหยาง นางก็สั่งให้ตู้ฮุ่ยกับอาเหลียงเริ่มเก็บข้าวของในตำหนัก จากนั้นก็ทำเหมือนเมื่อชาติที่แล้ว ให้พวกนางถามนางกำนัลและขันทีในตำหนักเฟิ่งหยางว่ามีผู้ใดยินดีติดตามนางออกจากวังบ้าง
ความเงียบสงบตลอดหลายปีของตำหนักเฟิ่งหยางถูกทำลายลง แม้ทุกคนจะยังทำงานในมืออย่างเป็นระเบียบ แต่สายตากลับมองสบกันโดยบังเอิญ เหมือนกำลังถามว่า ‘เจ้าตัดสินใจเช่นไร’
ซย่าโหวอวี๋กลับตำหนักบรรทมด้วยสีหน้าเรียบเฉย เถียนเฉวียนกลับมาจากข้างนอก เขาคารวะซย่าโหวอวี๋ในสภาพที่เหงื่อเต็มศีรษะ “จ่างกงจู่ เรื่องที่ท่านสั่ง กระหม่อมจัดการเรียบร้อยหมดแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
ซย่าโหวอวี๋พูด “เช่นนั้นเจ้าไปปรนนิบัติที่ตำหนักทิงเจิ้งเถอะ วันนี้เจ้าไม่อยู่ตลอดช่วงบ่าย แม่ทัพใหญ่ต้องรู้สึกแปลกใจเป็นแน่”
เถียนเฉวียนรีบตอบ “จ่างกงจู่โปรดวางใจ กระหม่อมไม่เผยพิรุธแน่นอน”
เรื่องนี้ซย่าโหวอวี๋วางใจอยู่แล้ว หาไม่หลังจากเสด็จแม่ของนางตายไป คงไม่ทิ้งเถียนเฉวียนไว้คอยดูแลชีวิตประจำวันของนางกับน้องชายแน่นอน