เซี่ยตันหยางรู้ว่าซย่าโหวโหย่วเต้าถูกบรรจุลงโลงแล้ว อีกไม่นานจะมีคนสังเกตเห็นเขาคุยกับซย่าโหวอวี๋ตามลำพัง เขาต้องตัดสินใจประเดี๋ยวนี้
“จ่างกงจู่” แม้เขาจะรู้ว่าคำพูดนี้เอ่ยออกไปแล้วออกจะเสียหน้า แต่นึกไม่ถึงว่าซย่าโหวอวี๋จะใส่ใจสถานการณ์ของเป่ยเหลียง ทั้งยังวิเคราะห์การเมืองเป็น เป็นไปไม่ได้ที่นางจะเป็นสตรีธรรมดา เป็นไปได้มากว่าก่อนที่นางจะมาหาตน นางคงมีความคิดอยู่ก่อนแล้ว เขาจึงไม่ต้องปิดบังหลบซ่อนอีก แต่พูดตรงๆ ว่า “กระหม่อมจะไม่รู้หลักการเหล่านี้ได้อย่างไร กระหม่อมเองก็คิดเห็นเหมือนกับท่าน เพียงแต่ในมือของพวกเราไม่มีอำนาจทหาร…ต่อให้มีกลยุทธ์มากมายเพียงใดก็ไม่อาจนำออกมาใช้ได้…ต่อให้โชคดีสนับสนุนโอรสสวรรค์ขึ้นครองราชย์ได้ แต่วันหน้าเบื้องบนออกคำสั่งเบื้องล่างอาจไม่ปฏิบัติตาม ถึงขั้นอาจถูกหลูยวนปลด…” ถึงยามนั้นสกุลเซี่ยของพวกเขากับซย่าโหวอวี๋คงไม่มีจุดจบที่ดีแน่ โดยไม่รู้ตัว เซี่ยตันหยางก็เริ่มใช้คำยกย่องซย่าโหวอวี๋
ซย่าโหวอวี๋ยิ้ม แล้วเอ่ยเสียงค่อย “ยังมีเซียวหวนอยู่อีกคนมิใช่หรือ”
แววตาของเซี่ยตันหยางคมกริบขึ้นมาทันใด เขาลืมเซียวหวนที่ยิงธนูทะลุใบหลิวได้ในระยะเกินร้อยก้าวผู้นั้นไปได้อย่างไรกัน
แต่เซียวหวนจะช่วยเหลือพวกเขาหรือ หลังจากเซียวหวนเข้าพิธีแต่งงานกับซย่าโหวอวี๋ เขาก็ออกเดินทางไปเซียงหยาง ทว่าคนยังไปไม่ถึงเซียงหยางก็ถูกหลูยวนย้ายไปสวีโจวแล้ว ต่อให้เซียวหวนทราบข่าวและรีบกลับมาในทันที…แต่จะทันหรือ
ซย่าโหวอวี๋พูดช้าๆ “เรื่องนี้ต้องขอให้ใต้เท้าเซี่ยช่วยยื้อเวลาให้พวกเราสักสองวันแล้ว”
เซี่ยตันหยางเห็นซย่าโหวอวี๋พูดอย่างมั่นใจเช่นนี้ ก็อดลอบสงสัยไม่ได้ว่าซย่าโหวอวี๋กับเซียวหวนใช่วางแผนกันมาก่อนแล้วหรือไม่ หาไม่แล้วซย่าโหวอวี๋จะแน่ใจถึงเพียงนี้ได้อย่างไร ความขุ่นขึ้งและความไม่ยินยอมที่ต้องถูกหลูยวนกดข่มมานาน ยามนี้พลันโถมทะลักออกมา และกลบสติสัมปชัญญะของเขาอย่างรวดเร็ว
การหยิบเกาลัดออกจากกองไฟ บางทีไฟอาจลวกมือ แต่ผลลัพธ์นั้นหอมหวาน เซี่ยตันหยางตัดสินใจได้ทันที เขาพูด “เช่นนั้นกระหม่อมจะหาหนทางยื้อเวลาไว้สี่วัน” สี่วันให้หลังจะเป็นวันครบรอบเจ็ดวันของซย่าโหวโหย่วเต้า
ขอเพียงยังไม่ประกาศต่อคนนอกว่าผู้ใดจะขึ้นเป็นฮ่องเต้องค์ใหม่ เรื่องราวย่อมยังเปลี่ยนแปลงได้เสมอ
แต่ถ้าภายในสี่วันนี้เซียวหวนยังไม่รุดกลับมา นี่ย่อมเป็นลิขิตสวรรค์ เขาจะเก็บความคิดที่ไม่พึงมีนี้ไว้ ยอมทำงานให้หลูยวนอย่างสงบเสงี่ยม
ซย่าโหวอวี๋ผงกศีรษะ ก่อนครบเจ็ดวันจะไม่เอ่ยถึงการแต่งตั้งฮ่องเต้องค์ใหม่เพื่อแสดงความเคารพต่อน้องชายนาง นี่เป็นข้ออ้างที่ดีมาก ชาติก่อนเซียวหวนรุดกลับมาในวันที่สี่ ชาตินี้เขาก็น่าจะกลับมาทัน หากเรื่องราวยังจะพลิกผันไปอีก นางคงได้แต่บอกว่านี่เป็นลิขิตสวรรค์ ไม่มีผู้ใดไม่กล้าทำตาม
ทั้งสองแยกย้ายกันไปทำตามหน้าที่ ก้าวตามกันเข้าไปในตำหนักกลาง
หลูยวนกำลังพูดคุยเสียงค่อยกับหลูไหว ยามเห็นสองคนเข้ามาก็รีบหยุด
หลูยวนมองซย่าโหวอวี๋ที่สวมชุดผ้าดิบไว้ทุกข์แต่ยังคงสง่างามและบริสุทธิ์ดุจดอกบัว เขาบังเกิดความเห็นใจอย่างหาได้ยากยิ่ง จึงพูดเสียงอ่อนโยน “จ่างกงจู่เซ่นไหว้อดีตฮ่องเต้แล้วก็เสด็จกลับไปพักผ่อนที่ตำหนักเฟิ่งหยางก่อนเถอะ ช่วงบ่ายยามโหย่ว ขุนนางที่มาเซ่นไหว้ถึงจะมากันครบ”
ซย่าโหวอวี๋ส่ายศีรษะ “ข้าจะไปอยู่ในตำหนักขวาด้านหลัง ข้าอยากคัดคัมภีร์ให้น้องชายสักหน่อย”
ยุคสมัยนี้สตรีส่วนมากมักจะนับถือศาสนาพุทธ ซย่าโหวอวี๋ก็ไม่ยกเว้น หลังจากเข้าพิธีปักปิ่น นางก็โยกย้ายเบี้ยหวัดในนามของตนเอง นำเงินสามแสนก้วนไปบริจาคให้วัดวั่นเฉิงซึ่งเป็นที่ตั้งโลงศพของเหวินเซวียนฮองเฮาในอดีต นี่เป็นเงินบริจาคก้อนใหญ่ที่สุดที่วัดวาอารามทั้งเหนือใต้เคยได้รับมา เรื่องนี้ถึงกับโด่งดังอยู่ช่วงหนึ่ง
หลูยวนรู้สึกว่าข้อเรียกร้องนี้สมเหตุสมผล รอจนซย่าโหวอวี๋จุดธูปไหว้ซย่าโหวโหย่วเต้าแล้ว เขาจึงสั่งให้ขันทีที่ดูแลพิธีศพคอยปรนนิบัติซย่าโหวอวี๋ในตำหนักขวาด้านหลัง
ซย่าโหวอวี๋นั่งคุกเข่าเบื้องหน้าโต๊ะ คัดคัมภีร์ด้วยอักษรจันฮวาเสี่ยวข่าย อย่างเป็นระเบียบ สวดมนต์ขอพรให้น้องชาย
เสียงโต้แย้งเบาบ้างดังบ้างลอยมาจากตำหนักกลางเป็นพักๆ นางไม่เสียสมาธิไปฟัง หากแม้แต่เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เซี่ยตันหยางยังจัดการไม่ได้ เขาย่อมไม่คู่ควรจะเป็นพันธมิตรของนาง
หลังยามอู่ ขุนนางที่มาเคารพศพซย่าโหวโหย่วเต้าจึงทยอยเดินทางมาถึง การโต้เถียงในตำหนักกลางยุติลง ซย่าโหวอวี๋ออกไปคารวะตอบ ขุนนางเหล่านั้นพากันทยอยกลับไป
สุดท้ายหลูยวนก็ไม่ได้รั้งตัวขุนนางเหล่านั้นให้อยู่คุยต่อ ซย่าโหวอวี๋รู้ว่าเซี่ยตันหยางทำสำเร็จแล้ว