ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ออกจากจวนมาไขคดี บทที่ 19-21
บทที่ 19 ห้าปีหนึ่งฝัน
เฉินอิ๋งค่อยๆ หลับตาลง อดไม่ได้ที่จะนึกถึงความฝันพวกนั้น
นับตั้งแต่นางจดจำเรื่องราวต่างๆ ในชาติภพอื่นได้เมื่อแปดปีก่อน และรับรู้ว่ายามนี้ตนเองคือคุณหนูสามของบ้านรองจวนกั๋วกง นางก็ฝันแบบเดียวกันมาโดยตลอด จนกระทั่งเมื่อสองปีกว่าก่อนหน้านี้ ความฝันแปลกประหลาดนั่นกลับยุติลง
ตลอดระยะเวลาห้าปีเต็มที่นางคล้ายเดินอยู่ในฝัน จวบจนชีวิตของคนผู้หนึ่งสิ้นสุด
หากจะบอกว่านั่นเป็นความฝัน ไม่สู้บอกว่ามันเป็นส่วนประกอบย่อยที่สำคัญที่สุดในชีวิตคนผู้หนึ่งที่อยู่ในรูปแบบความฝัน ถูกเคี่ยวกรำจนกลายเป็นความทรงจำ
ส่วนเมื่อสองปีกว่าก่อนหน้านี้ ความฝันของนางกลับแตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ไม่ต่างอะไรกับความฝันที่แท้จริง ต่างกับเมื่อห้าปีก่อนที่เป็นดั่งประสบการณ์ต่อเนื่องที่คนผู้หนึ่งประสบพบพาน
“คุณนักสืบ…” เฉินอิ๋งพึมพำกับตนเอง มุมปากยกอยู่ในองศาแปลกประหลาด
ตอนอยู่ในฝัน นี่เป็นคำที่คนอื่นเรียกขานนาง
คุณนักสืบ
ใช่แล้ว ในฝันที่ยืดยาวต่อเนื่องถึงห้าปีนั้น นางไม่ใช่ตัวนาง หากแต่เป็นเขา เป็นคุณนักสืบคนหนึ่ง
ช่วงเวลาในฝันกระโดดข้ามเป็นตอนๆ จากวัยหนุ่มจนถึงวัยชรา เส้นเวลาดังกล่าวชัดเจนแจ่มแจ้ง นอกจากนี้ฝันพวกนั้นยังมีจุดเด่นอยู่อีกประการหนึ่งคือทั้งหมดล้วนมีคดีเป็นจุดเปลี่ยน
ซึ่งนั่นก็หมายความว่ามีเพียงความทรงจำหรือชีวิตคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีเท่านั้นถึงจะปรากฏขึ้นในฝันของนาง
ตายไปสองครั้ง แต่กลับมีความทรงจำสามช่วงเวลา
นี่เป็นชะตากรรมที่แปลกประหลาดจริงๆ
เฉินอิ๋งพลิกกายอีกครั้ง ใช้ผ้าห่มห่อคลุมร่างแน่นหนา
ผ้าไหมอ่อนนุ่มสัมผัสอยู่กับผิวหนังชวนอุ่นสบาย
ว่ากันว่ามีเพียงคนที่รู้สึกไม่มั่นคงเท่านั้นถึงจะอาศัยข้าวของภายนอกสร้างความรู้สึกปลอดภัยให้กับตนเอง ใช้มันบรรเทาความรู้สึกกังวลใจได้
หรือนางก็เป็นเช่นนั้น
เฉินอิ๋งรู้สึกเลอะเลือน
ไม่ว่าจะเป็นสังคมในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด หรืออดีตชาติที่นางมีชีวิตอยู่ในยุคโบราณ สำหรับเฉินอิ๋งแล้วความรู้สึกปลอดภัยเป็นคำที่นางไม่คุ้นเคยเลย
ในยุคปัจจุบัน นางได้แต่วิ่งวุ่นหัวปั่น ทั้งนี้ก็เพราะความที่เป็นเด็กกำพร้าทำให้นางต้องขยันขันแข็งกว่าคนอื่น นับแต่ชั้นประถมจนสอบเข้าโรงเรียนรัฐบาลชั้นนำ ทุกวันนางล้วนพยายามวิ่งขึ้นหน้าอย่างสุดความสามารถ เพื่อเอาตัวรอด เพื่อหาเลี้ยงชีพ เพื่ออนาคตในวันข้างหน้า เพื่อสิ่งของต่างๆ ที่นางต้องการ
วันเวลาเช่นนั้นนางไหนเลยจะมีเวลาไปคิดเรื่องปลอดภัยหรือไม่ปลอดภัยอะไร ครั้นหมดวัน พอหัวถึงหมอนนางก็สลบแล้ว ไม่มีเวลาสนใจเรื่องอื่น
ส่วนชีวิตในเรือนคุณหนูผู้สูงศักดิ์เมื่อชาติที่แล้ว นางตกอยู่ท่ามกลางแผนการและการต่อสู้ต่างๆ นานา ก่อนแต่งงานต้องต่อสู้กับพี่สาวที่เกิดจากฮูหยินใหญ่ ต่อสู้กับอนุของบิดา ต่อสู้กับย่าและวงศาคณาญาติ หลังแต่งงานกลับยังต้องต่อกรกับพวกสาวใช้ ต่อสู้กับเหล่าพี่สะใภ้น้องสะใภ้ สู้กับเหล่าสตรีที่หมายตาอยากได้ตำแหน่งนายหญิงของนาง
จากแรกๆ ที่ไม่คุ้นชิน ภายหลังนางก็ไม่ต่างอะไรกับปลาได้น้ำ เริ่มต้นตั้งอกตั้งใจเรียนรู้ ควบคุมนิสัยเดิมจนเป็นไปตามธรรมชาติ ก่อนจะจบชีวิตลงท่ามกลางการต่อสู้แย่งชิงภายในเรือนใน
ชีวิตทั้งสองชาติภพ นางล้วนไม่เคยรู้ว่าตนเองต้องการอะไร และไม่เคยถามใจตนเอง
นางก็แค่ไม่รู้จุดมุ่งหมาย เดินไปตามจังหวะย่างก้าวของผู้คนจำนวนมาก ไม่เคยเงยหน้ามองและไม่เคยหันหลังมองย้อนกลับไป
คนเข้านางก็เข้า คนถอยนางก็ถอย กลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับทุกคน
ทว่าในเวลานี้กลับเป็นครั้งแรกที่นางเริ่มหยุดคิดว่าเหตุใดนางต้องก้าวเดินไปตามรอยเท้าของผู้คนจำนวนมาก
สิ่งที่นางต้องการแท้แล้วคือสิ่งใด
อาจเพราะเดินตามคนอื่นมาเนิ่นนานเกินไป จนกระทั่งหยุดรั้งเท้านางถึงได้พบว่าที่แท้นางก็เป็นคนไร้เป้าหมายผู้หนึ่ง
เป้าหมายที่ว่าไม่ใช่เป้าหมายที่สอดคล้องตามภววิสัยเหมือนอย่างห้องชุดที่นางอยากได้ตอนอยู่ในยุคปัจจุบัน หรือตำแหน่งนายหญิงที่นางต้องการครอบครองมันไว้ชั่วนิรันดร์ในชาติปางก่อน
ไม่ใช่เป้าหมายจำพวกนั้น
เป้าหมายพวกนี้แต่ไหนแต่ไรนางก็ไม่เคยขาดแคลน ในอดีตชาตินางถึงกับทุ่มเทอย่างสุดกำลังเพื่อพวกมัน
นางตระหนักได้ว่าเป้าหมายที่ตนเองขาดหาย แท้แล้วก็คือเป้าหมายในการดำรงชีวิต
คนเรามีชีวิตเพื่อสิ่งใด
ความหมายของชีวิตอยู่ที่ใด
นางไม่เคยนึกถึงปัญหาเหล่านี้มาก่อน
จนกระทั่งถึงยุคต้าฉู่ จากความทรงจำแปลกประหลาดทั้งสามช่วงทำให้นางตระหนักได้ว่าหากคนผู้หนึ่งมีทัศนคติต่อคุณค่าและชีวิตที่ชัดแจ้ง ดำเนินชีวิตไปตามความเชื่อมั่น ชีวิตของคนผู้นั้นจะบริบูรณ์เต็มไปด้วยสาระมากมายเพียงใด ชีวิตของนางหรือเขาจะเปล่งประกายเจิดจ้าแสบตาเช่นไร
หากบอกว่าความทรงจำทั้งสองชาติภพนั้นทำให้นางเข้าใจได้ถึงเหตุผลของความไม่แน่นอนในชีวิตมนุษย์ เช่นนั้นชีวิตในช่วงเวลานี้ก็ทำให้นางเข้าใจว่าท่ามกลางความไม่แน่นอนในชีวิตมนุษย์นั้นมีเพียงความเชื่อ อุดมการณ์ ศรัทธา หรือสิ่งที่เป็นนามธรรมที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันเท่านั้นถึงจะสามารถทำให้ชีวิตไม่จืดชืดไร้รสชาติ ไม่ใช่ใครพูดอะไรก็พูดตามอีก
นางมองไปทางรัศมีบางเบานอกม่านโปร่ง เฉินอิ๋งยิ้มขื่น
นางคล้ายตื่นจากฝัน
ที่น่าขันคือคนที่ปลุกนางตื่นไม่ใช่ใครไหนอื่น แต่หากเป็นตัวนางเอง
ครั้นได้สติ มาตรฐานการวางตัวทั้งสองชาติภพที่อยู่ภายในจิตใต้สำนึกของนางก็พังทลาย
‘เก็บงำสำรวม’ นี่เป็นถ้อยคำชื่นชมที่นางมักบอกกับตนเองทั้งตอนอยู่ในยุคศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดและยามอยู่ในเรือนคุณหนูผู้สูงศักดิ์ในอดีตชาติ
ทว่ายามนี้นางกลับฉีกเปลือกจอมปลอมพวกนั้นทิ้ง เผยให้เห็นแก่นแท้อัปลักษณ์
ทุกสิ่งที่นางทำ ไหนเลยจะเรียกได้ว่า ‘เก็บงำสำรวม’ ได้
มันก็แค่การปล่อยชีวิตให้ไร้จุดยืน ยอมให้ความเกียจคร้านขลาดเขลาเข้ามาแทนที่สติปัญญาต่างหาก
นางใช้ชีวิตบัดซบเช่นนั้นมาสองชาติภพแล้ว
โดยเฉพาะชาติภพที่สอง ในยุคสมัยอันเลวร้ายที่นางไม่อาจแม้แต่จะคำนึงถึงตนเองก่อน ตรงกันข้ามกลับกลายเป็นพรรคพวกของคนโฉดแห่งยุค
ภายใต้แสงเทียนหรุบหรู่ เฉินอิ๋งยิ้มมุมปาก นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดตนเองถึงเคยมีชีวิตอยู่ในโลกเช่นนั้น
นางควรรู้อยู่แต่แรก โลกนี้ไม่เคยเป็นมิตรกับสตรี ทว่านางกลับมาอยู่ในยุคสมัยที่สตรีถูกกดขี่ ใช้มุมมองคุณค่าที่ไม่ใช่ของตนชั่งน้ำหนักทุกสรรพสิ่ง อาศัยอำนาจเล็กน้อยที่ยุคสมัยประทานให้บ่อนทำลายคนที่อ่อนแอกว่าและคนเพศเดียวกันที่ไม่อาจขัดขืนดิ้นรน
นั่นมันชีวิตที่น่าสมเพชแบบใดกัน
แต่ที่น่าสมเพชที่สุดคือครั้นตนเองปรากฏกายอยู่ในช่วงเวลานั้น นางกลับกระหยิ่มยิ้มย่อง นึกภาคภูมิใจในชีวิตเช่นนั้น
นางควรมีสติเร็วกว่านี้สักหน่อย จะได้ไม่ต้องตายเพราะโง่เขลาเลอะเลือน
โชคดีก็คือสวรรค์ให้โอกาสนางครั้งแล้วครั้งเล่า ให้นางมีโอกาสเริ่มต้นออกเดินทางใหม่
‘ข้าไม่กลัวตายอย่างโดดเดี่ยว ข้าแค่กลัวมีชีวิตอย่างไร้คุณค่า’
คำพูดประโยคนี้มาจาก ‘The marvelous Mrs. Maisel’*
เฉินอิ๋งรู้สึกเจ็บแปลบลึกๆ อยู่ภายในใจ
น่าประหลาดจริงๆ
ในชาติที่แล้วนางน้อยนักที่จะมีโอกาสนึกถึงทุกสิ่งอย่างในยุคปัจจุบัน ตรงกันข้ามหลังจากตายไปแล้วสองครั้ง ความทรงจำที่ถูกฝุ่นเกาะกลับถูกเช็ดถูจนสะอาดขึ้นมาอีกครั้ง เผยให้เห็นถึงโฉมหน้าที่แท้จริง
บางทีนั่นต่างหากถึงจะเป็นตัวตนที่แท้จริงของนาง
หลังการเดินทางเลอะเลือนสองชาติภพในชั่วระยะเวลาสั้นๆ จบลง ในที่สุดนางกับตัวนางอีกคนที่ซ่อนลึกอยู่ภายในใจก็ได้พบเจอกัน
นางคิด ในที่สุดนางก็ตื่นแล้ว เข้าใจแล้ว ตระหนักรู้แล้ว นางยินดีมีชีวิตอยู่เพื่อตนเอง ต่อให้เป็นแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ ต่อให้หัวแตกเลือดไหลอาบ อย่างไรก็ยังดีกว่าร่วมผุพังไปกับยุคสมัยบัดซบนี้
ไม่ทันได้รู้ตัว เฉินอิ๋งก็หลับใหลไปอีกคราว แต่ครั้งนี้นางกลับไม่ฝันอันใดอีก