ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ออกจากจวนมาไขคดี บทที่ 19-21
บทที่ 21 แดงรัญจวนเขียวชอุ่ม
เฉินอิ๋งอมยิ้มมองดูเฉินจวิ้น ไม่ได้เอ่ยปากพูดอันใด
เฉินเซ่าหายสาบสูญไปเจ็ดปี เฉินจวิ้นก็เปลี่ยนเป็นเช่นนี้เจ็ดปีเช่นกัน
ตลอดเจ็ดปีมานี้เฉินอิ๋งเห็นกับตาว่าพี่ชายของนางใช้วิธีหลบหนีเอาตัวรอดเช่นไร อีกฝ่ายเลือกเหยียดหยันสังคม คล้ายไม่สนใจไยดีใดๆ ติดอาวุธให้ตนเองทีละน้อยจนหอกดาบฟันแทงไม่เข้า
ล้วนแต่บอกว่ายากจนเปลี่ยนคนเป็นผู้ใหญ่ก่อนกาล ยากแค้นทำคนเติบโต
เฉินจวิ้นเติบใหญ่ด้วยวิธีการของตนเอง การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่เพียงแต่เฉินอิ๋งเท่านั้นที่มองเห็น หลี่ซื่อเองก็เช่นกัน ทว่าผู้คนที่อยู่รายรอบใช่ว่าจะสัมผัสรับรู้ได้
สองพี่น้องแยกทางกันตรงหน้าประตูเรือน เฉินจวิ้นกลับห้องหนังสือไปอ่านหนังสือทบทวนตำราต่อ ส่วนเฉินอิ๋งเรียกคนปิดประตูเรือนและเปิดประตูลานตะวันตกที่เชื่อมต่อกับภายนอกแทน ก่อนจะเรียกตัวฮวาไจ้ผู่จยากับสาวใช้อีกสองสามคนออกมา เอ่ยปากกำชับว่า “เจี้ยงอวิ๋น จื่อฉี่ เจ้าอยู่เฝ้าเรือนให้ดี ฮวามามา อีกสักครู่ไม่ว่าผู้ใดมาก็ให้บอกไปว่าท่านแม่เพิ่งกินยา ยามนี้นอนหลับพักผ่อนอยู่ ไม่สะดวกรับแขก หลังจากนั้นค่อยพาพวกนางไปที่เรือนหงเซียงอู้แทน”
นับแต่เฉินเซ่าหายสาบสูญ หลี่ซื่อก็ร่างกายอ่อนแอลงเรื่อยๆ ล้มป่วยบ่อยครั้ง คำพูดนี้ไม่อาจนับว่าเฉินอิ๋งโป้ปด
ฮวาไจ้ผู่จยารับปากอย่างรวดเร็ว ก่อนจะนำพาคนจากไป จากนั้นเฉินอิ๋งก็เรียกสวินเจินกับจือสือมา ให้พวกนางพาสาวใช้ตัวน้อยสองสามคนไปเตรียมของว่าง จัดวางเก้าอี้และของตกแต่งอื่นๆ ก่อนจะหันหลังเดินไปเรือนหงเซียงอู้
บ้านรองแม้คนจะไม่มาก ทว่าห้องหับเรือนลานกลับมีอยู่ไม่น้อย เฉพาะเรือนข้างก็มีอยู่ด้วยกันถึงสี่หลังแล้ว หนำซ้ำยังมีเรือนเล็กงดงามวิจิตรอีกสองหลัง ยามนี้นอกจากหงเซียงอู้เรือนข้างฝั่งตะวันตกที่ถูกเฉินอิ๋งใช้เป็นห้องหนังสือกับต้อนรับแขกแล้ว ยังมีเรือนตุยจิ่นอีกหลังที่ถูกนางดัดแปลงใช้เป็นลานฝึกยุทธ์ ลานเรือนที่เหลือนอกจากนั้นล้วนถูกปิดประตูลงกลอนไม่มีการใช้งาน
เรือนหงเซียงอู้มีห้องอยู่สามห้อง ตกแต่งเรียบง่าย เฉินอิ๋งใช้มันเป็นห้องหนังสือมาโดยตลอด หลังจากเข้ามานางก็ตรงไปยังเรือนประธาน หลังเลือกบันทึกปกิณกะเล่มหนึ่งมานั่งอ่านได้ไม่ทันไร เสียงคนพูดคุยกันจากทางด้านนอกก็ดังลอยเข้ามา
“น้องสามกำลังทำอะไรอยู่ ข้าแวะมาเยี่ยมเจ้าแล้ว” คนยังไม่ทันถึง เสียงกลับมาถึงก่อน เฉินอิ๋งยิ้มมุมปากและวางหนังสือลง ก่อนจะพบว่าที่นอกม่านประตูมีโฉมสะคราญงดงามประหนึ่งน้ำค้างยามวสันต์อาบแสงเงินแสงทองยามอรุณรุ่งยืนอยู่ ที่แท้อีกฝ่ายก็คือเฉินจิ่นนั่นเอง
“พี่ใหญ่มาแล้ว รีบเข้ามานั่งพักที่ด้านในเถอะ” เฉินอิ๋งทำตัวเป็นเจ้าบ้านที่ดี เชื้อเชิญอีกฝ่ายนั่งก่อนจะบอกให้คนนำของว่างที่เพิ่งทำเสร็จเข้ามารับแขก
เฉินจิ่นนั่งลง ดวงตาวับวาว สายตากวาดมองไปรอบๆ คราหนึ่ง สีหน้าผิดหวังปรากฏขึ้นบนใบหน้างดงาม นางถอนหายใจกล่าว “น้องสาม ห้องหนังสือของเจ้านี้ว่างเปล่าเกินไปแล้ว ไม่สมกับคำว่าหงเซียงอู้* เลยแม้แต่น้อย”
คุณหนูผู้มีอารมณ์สุนทรีย์ ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็ล้วนเอ่ยปากรจนาบทกวีได้
เฉินอิ๋งยิ้มมุมปาก “น่าขายหน้ายิ่งนัก”
หลังจากนั้นนางก็ชี้ไปที่นอกหน้าต่าง “เมื่อดอกไม้ข้างนอกผลิบาน ถึงตอนนั้นเรือนนี้ก็จะไม่ว่างเปล่าอีกต่อไป”
ลานของเรือนหงเซียงอู้ปลูกต้นไห่ถังไว้สองสามต้น ยามผลิบานเรือนทั้งเรือนก็จะเต็มไปด้วยสีสันสดใสงดงาม ยามนี้แม้ช่วงผลิดอกจะผ่านพ้นไปแล้ว ทว่าเงาไม้เขียวชอุ่มก็ยังคงสะท้อนอยู่บนหน้าต่าง ดูน่าสนใจอยู่ไม่น้อย
เฉินอิ๋งรู้สึกว่านอกหน้าต่างมีเงาไม้สูงๆ ต่ำๆ ในสายลมมีกลิ่นหอมสดชื่นของใบหญ้า เพียงเท่านี้ห้องหนังสือนี้ก็จัดว่าได้มาตรฐานแล้ว
เฉินจิ่นกลับขมวดคิ้วส่ายหน้า “เช่นนี้หาได้ไม่ อีกครู่ข้าจะกลับไปบอกท่านแม่ให้นางเปิดห้องคลัง มอบข้าวของตกแต่งเพิ่มเติมให้เจ้าสักหน่อย” พูดๆ อยู่นางก็นึกสนุกลุกขึ้นเดินวนไปมาอยู่ในห้องหนังสือ ประเดี๋ยวชี้ตรงนี้บอกขาดแจกัน ประเดี๋ยวก็บอกตรงนั้นขาดบังตาขาดโต๊ะ ประเดี๋ยวก็ติว่าผ้าคลุมเก้าอี้เก่าเกินไป กี๋กระเบื้องลวดลายล้าสมัยต่างๆ นานา ทั่วทั้งห้องไม่มีจุดใดที่นางจะไม่ตำหนิ
กว่านางจะหยุดพูดได้ก็ไม่ใช่ง่าย เฉินจิ่นนั่งลงดื่มน้ำชาใหม่อีกครั้ง ครั้นชาผ่านเข้าปาก นางก็หรี่ตาพยักหน้า “ทว่าชานี้กลับไม่เลว ชาสือฮวาจากเขาเหมิงติ่ง?”
“คิดว่าคงใช่ เมื่อสองสามวันก่อนท่านป้าใหญ่ให้คนส่งมา” เฉินอิ๋งพูดด้วยน้ำเสียงคล้ายไม่มั่นใจ
เฉินจิ่นกระดกนิ้วเรียวยาวชี้มาที่นางพลางยิ้มพูด “น้องสามเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก มีอะไรไม่ยอมพูดออกมาตรงๆ เห็นอยู่ชัดๆ ว่านี่คือชาสือฮวาเขาเหมิงติ่ง แต่เจ้ายังคิดจะเอาเรื่องอื่นมาพูดหลอกข้าอีก”
เฉินอิ๋งอับจน นางถอนหายใจออกมาคราวหนึ่ง “ข้าเองไม่รู้เรื่องชาสักเท่าใดนัก ดื่มไปก็บอกไม่ถูก พี่ใหญ่ถามเสียเปล่าแล้ว”
ขณะที่คนทั้งสองกำลังพูดคุยกัน สาวใช้สวมเสื้อตัวยาวไม่มีแขนสีเขียวต้นหอมผู้หนึ่งก็เดินเข้ามายิ้มรายงาน “คุณหนู คุณหนูสี่ คุณหนูห้า คุณหนูหก และคุณหนูเจ็ดมาแล้วเจ้าค่ะ”
ครั้นพูดจบ เสียงสนทนาจ้อกแจ้กจอแจที่ด้านนอกก็ดังขึ้น ระคนอยู่กับเสียงฝีเท้ามากมายหลายคู่
เฉินจิ่นวางถ้วยชาลง สีหน้าถากถางเย้ยหยันปรากฏขึ้นแวบหนึ่ง
สวินเจินที่อยู่ข้างๆ หน้ามุ่ยสั่งพวกสาวใช้ตัวน้อยให้ยกเก้าอี้จัดโต๊ะชา คุณหนูทั้งสี่จากบ้านสามทยอยเดินกันเข้ามา
บ้านสามมีคุณหนูอยู่ด้วยกันทั้งหมดห้าคน คุณหนูรองเฉินเซียง คุณหนูสี่เฉินหาน คุณหนูห้าอายุสิบขวบเฉินชิง ล้วนเป็นบุตรีที่เกิดจากเสิ่นซื่อ ส่วนคุณหนูหกอายุแปดขวบเฉินหยวน คุณหนูเจ็ดอายุเจ็ดขวบเฉินเหมย ทั้งสองเกิดจากอนุ นอกจากนี้บุตรชายเพียงหนึ่งเดียวของบ้านสาม คุณชายห้าเฉินสวินก็เป็นบุตรชายในอุทรของอนุเช่นกัน ปีนี้เพิ่งอายุสองขวบ
เสิ่นซื่อเดิมเป็นบุตรีของผู้ช่วยตุลาการแห่งศาลเขตอิ้งเทียน ด้วยเพราะประจวบเหมาะทำให้ได้แต่งเข้าจวนกั๋วกง เรียกได้ว่าเป็นการแต่งงานเลื่อนฐานะ หลังแต่งงานนางก็พยายามอย่างสุดกำลังแข่งขันกับพี่สะใภ้ทั้งสองที่เกิดมาฐานะสูงส่ง โดยเฉพาะหลี่ซื่อที่ถูกนางเห็นเป็นศัตรูลับๆ
น่าเสียดายที่ท้องของเสิ่นซื่อไม่เอาไหน หลังให้กำเนิดบุตรีสามคน ท้องของนางก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ อีก ด้วยเพราะร้อนใจ ในที่สุดนางก็เชิญท่านหมอมาตรวจดูอาการ ถึงได้พบว่าตอนคลอดเฉินชิงร่างกายนางมีปัญหาทำให้ยากจะมีบุตรได้อีก
เสิ่นซื่อร่ำไห้หนัก ด้วยเพราะจนใจนางจึงรับสาวใช้ที่ติดตามมาตอนแต่งงานทั้งสองคนให้ขึ้นมาเป็นอนุ ได้แก่เก๋ออี๋เหนียง กับฟั่นอี๋เหนียง หวังว่าท้องของพวกนางจะพยายามมากหน่อย
ที่น่าเสียดายก็คืออนุทั้งสองต่างก็ให้กำเนิดบุตรี หลังจากนั้นก็ไม่มีข่าวคราวอันใดอีก ในที่สุดทางบ้านของเสิ่นซื่อก็นั่งไม่ติด มารดาของเสิ่นซื่อออกโรงเอง คัดเลือกเอาหลานสาวห่างๆ ที่รูปร่างนิสัยดีส่งเข้าจวนกั๋วกงมา ซึ่งในเวลานี้ก็คือซูอี๋เหนียง
ซูอี๋เหนียงนับว่ามีโชควาสนาไม่เลว เข้าจวนกั๋วกงมาได้ไม่นานก็ตั้งครรภ์ ปีที่สองให้กำเนิดบุตรชายมาผู้หนึ่ง ซึ่งก็คือเฉินสวิน ยามนี้อยู่ภายใต้การดูแลของเสิ่นซื่อ
บ้านสามมีทายาทสืบสกุล ซูอี๋เหนียงย่อมเป็นมารดาอาศัยวาสนาบุตร ยิ่งไปกว่านั้นด้วยเพราะนางอายุยังน้อยหน้าตางดงามหมดจด พอรู้จักหนังสืออยู่บ้าง นายท่านสามเฉินเหมี่ยนจึงรักใคร่เอ็นดูนางยิ่งกว่าใคร ว่ากันว่าเขาเคยปรึกษากับฮูหยินผู้เฒ่าสวี่เรื่องนำพาพี่น้องทั้งสองของซูอี๋เหนียงมาเล่าเรียนในเมืองหลวง ทว่ากลับถูกฮูหยินผู้เฒ่าสวี่ปฏิเสธเสียงแข็ง หนำซ้ำยังถูกตำหนิเสียยกใหญ่
จะไม่พูดก็คงไม่ได้ ที่จวนกั๋วกงมีสถานะอย่างเช่นทุกวันนี้ บุตรชายทั้งสี่ล้วนมีหน้ามีตา ฮูหยินผู้เฒ่าสวี่เรียกได้ว่ามีความดีความชอบอยู่ไม่ใช่น้อย
นางวางตัวสง่าผ่าเผย ปกครองผู้คนในครอบครัวอย่างเข้มงวด รักใคร่เอ็นดูบุตรทั้งสี่เท่าเทียมกันมาโดยตลอด ไม่เพียงเสื้อผ้าอาหารการกินที่ทุกคนล้วนได้เหมือนกันหมด หากยังคอยอบรมสั่งสอนพวกเขาตามความสามารถ เชิญอาจารย์ที่มีชื่อเสียงมาให้พวกเขาตั้งแต่แรกเริ่ม ครั้นเรียนรู้สำเร็จก็เชิญให้บ้านของผู้เป็นมารดาช่วยเหลือออกแรง ส่งพวกเขาเข้าไปเรียนหนังสืออยู่ในสำนักศึกษาหลวง หลังเข้าทำงานกับทางการ ฮูหยินผู้เฒ่าสวี่ก็ยิ่งให้การสนับสนุนช่วยเหลืออย่างสุดกำลัง
นางไม่เพียงเป็นมารดาที่คู่ควร หากแต่ยังเป็นแม่ยายที่โอบอ้อมอารี หลังบุตรชายทั้งสี่ต่างพากันมีครอบครัว นางก็มอบหมายงานดูแลบ้านเรือนให้สวี่ซื่อ ส่วนตนเองก็ทำหน้าที่เป็นเหล่าเฟิงจวิน เรื่องราวภายในบ้านของบุตรชายนางแทบไม่เคยยื่นมือเข้าไปสอด ทำเพียงปิดประตูพักผ่อนอย่างสงบ
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 31 ม.ค. 66 เวลา 12.00 น.