ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ออกจากจวนมาไขคดี บทที่ 22-24
บทที่ 24 หลานไม่นึกเสียใจ
ฮ่องเต้มีพระราชดำรัสตำหนิองค์หญิงใหญ่ก่อนเป็นอย่างแรก หลังจากนั้นองค์หญิงใหญ่ก็ทรงเป็นฝ่ายเอ่ยปากทูลขอกักตัว ปิดประตูสำนึกตน หลังจากนั้นพระราชบุตรเขยกัวจุ่นก็ออกหน้าคืนไร่นาที่ดินและแผงลอยรวมถึงกิจการต่างๆ ที่ยึดมา ชดใช้เงินให้กับผู้ที่ถูกทำร้าย ส่วนบ่าวไพร่ที่ใช้อำนาจบาตรใหญ่สังหารผู้คนก็ถูกส่งตัวให้ที่ว่าการเซิ่งจิงตัดสินโทษตามแต่จะเห็นสมควร
แน่นอนว่าเรื่องที่ควรตะโกนถูกปรักปรำย่อมต้องตะโกนถูกปรักปรำ ที่บอกว่าสั่งสมอาวุธยุทโธปกรณ์นั้นแท้แล้วก็แค่พระราชบุตรเขยซื้อกระบี่ล้ำค่าเพียงสองสามเล่มเท่านั้น ขุนนางราชนิกุลฝ่ายนอกส่วนใหญ่ล้วนชื่นชมอาวุธยุทโธปกรณ์เปี่ยมอานุภาพ เรื่องนี้จึงไม่อาจนับเป็นอะไรได้
จนกระทั่งถึงช่วงกลางเดือนสี่ จวนองค์หญิงใหญ่ก็จัดการส่งตัวพ่อบ้านที่ทำร้ายคนไปรับโทษยังที่ว่าการเซิ่งจิง มรสุมฎีกากล่าวโทษจึงค่อยๆ สงบลง
ช่วงพลบค่ำก่อนครีษมายัน ยามเมฆสีทองแผ่กระจายถึงขอบฟ้า จู่ๆ ขันทีในอาภรณ์ขุนนางสีน้ำเงินสองสามคนก็เดินทางมาถึงจวนกั๋วกง
ขันทีที่เดินนำอยู่ทางด้านหน้าประกาศด้วยน้ำเสียงเล็กแหลมบอกว่าไทเฮามีพระราชเสาวนีย์ให้คุณหนูสามจวนกั๋วกงเข้าวังในวันรุ่งขึ้นตอนยามเหม่า
ไม่มีประกาศให้มีผู้อาวุโสติดตามไปด้วย และไม่อนุญาตให้บ่าวไพร่ตามไปส่ง มีพระประสงค์ให้นางเข้าวังไปเพียงลำพัง ห้ามมิให้มีอันใดผิดพลาด
ได้ยินขันทีประกาศลากเสียงยาวเช่นนั้นเฉินอิ๋งก็รู้ได้ทันที ที่ควรมาสุดท้ายไม่ว่าเช่นไรก็ต้องมา
ฮูหยินผู้เฒ่าสวี่รวมถึงสวี่ซื่อหลังรับพระราชเสาวนีย์เสร็จก็ส่งขันทีผู้นั้นจากไป ทว่าก่อนไปยังยื่นซองแดงหนาๆ ซองหนึ่งให้กับอีกฝ่าย
หลังขันทีเหล่านั้นไปกันจนหมด ฮูหยินผู้เฒ่าสวี่ก็บอกสวี่ซื่อกับเฉินอิ๋งให้อยู่ที่เรือนหมิงหย่วนก่อน สามคนพูดคุยปรึกษาคิดหาวิธีรับมือ
“เรื่องก็ผ่านไปตั้งนานแล้ว เหตุใดยามนี้ถึงยังรับสั่งถึงเรื่องนี้อีก” หลังนั่งลงเป็นที่เรียบร้อย สวี่ซื่อก็เอ่ยปากขึ้นเป็นคนแรก หัวคิ้วขมวดเข้าหากัน สีหน้ากลัดกลุ้มยิ่ง
ทว่าใจนางแท้แล้วกลับโล่งอก ผลลัพธ์เช่นนี้นับว่าดี
เซียวไทเฮารับสั่งเรียกเฉินอิ๋งเข้าวังเพียงผู้เดียว นั่นก็แปลว่าอีกฝ่ายไม่คิดจะทำเรื่องนี้ให้ใหญ่โต แค่ต้องการระบายอารมณ์กับเฉินอิ๋งเท่านั้น มิได้คิดจะให้กระทบกระเทือนถึงจวนกั๋วกง
ขอเพียงหลังจบเรื่องชดเชยบ้านรองให้ดีๆ เรื่องนี้ย่อมผ่านพ้นไปได้ไม่ยาก จวนกั๋วกงหรือก็ไม่เสียหายอันใด บทสรุปเช่นนี้หรือจะบอกว่ามิใช่เรื่องดี
ครั้นคิดได้เยี่ยงนี้ใจของสวี่ซื่อก็พลันสงบ นางคิดอยู่ในใจว่าหลังทุกอย่างสิ้นสุดนางจะชดเชยให้บ้านรองด้วยการยกนาสิบกว่าหมู่ที่ชานเมืองให้กับอีกฝ่าย ทำเช่นนี้ไม่เพียงเป็นการปฏิบัติต่ออีกฝ่ายด้วยความกรุณา หากยังเลี่ยงไม่ต้องถูกเสิ่นซื่อตามตอแยไม่เลิก
“ฮ่องเต้ทรงเป็นบุตรกตัญญู เรื่องอันอ๋องระดมกำลังก่อกบฏในเพลานั้นองค์หญิงใหญ่เองก็ทรงให้การช่วยเหลือฮ่องเต้อยู่ไม่น้อย” น้ำเสียงเชื่องช้าของฮูหยินผู้เฒ่าสวี่ดังขึ้น นางมิได้ตอบคำถามของสวี่ซื่อ หากแต่อธิบายถึงสาเหตุของการเกิดเหตุการณ์อย่างในวันนี้แทน
ฮ่องเต้หยวนจยาครองราชย์สิบห้าปี สิบปีแรกเรียกได้ว่าลำบากยิ่งยวด ภายใต้สถานการณ์ไม่สงบ เซียวไทเฮากับองค์หญิงใหญ่ประทับอยู่เบื้องหลังพระองค์มาโดยตลอด ดังนั้นการที่ฮ่องเต้จะทรงให้ท้ายพวกนางก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล
“ถึงยามนี้จะมิใช่ยามนั้น ทว่าไมตรีจิตพวกนั้นฝ่าบาทไม่อาจไม่ใส่พระทัย” ฮูหยินผู้เฒ่าสวี่พูดเสริมขึ้นอีกประโยค
เฉินอิ๋งรู้ดีว่าคำกล่าวพวกนี้ของอีกฝ่ายล้วนบอกกับตนเอง
ไม่ใช่ว่าจวนกั๋วกงไม่ยอมรับมือ แต่หากพระทัยของฮ่องเต้ทรงโอนเอียงไปทางองค์หญิงใหญ่ กั๋วกงเองไหนเลยจะทำอันใดได้
บรรยากาศภายในห้องเงียบสงัดไปชั่วขณะ คนที่ปริปากยังคงเป็นสวี่ซื่อ “เจ้าสามเข้าวังไปผู้เดียว ถูกต้องเหมาะสมกระนั้นหรือ”
เมฆแดงสาดแสงเข้ามาภายใน จับอยู่บนใบหน้านาง ใบหน้าครึ่งมืดครึ่งสว่างแฝงไว้ซึ่งความรู้สึกเลื่อนลอย เหมือนรูปสลักลอยตัวของโฉมสะคราญนางหนึ่งที่โผล่ออกมาจากความว่างเปล่า
ฮูหยินผู้เฒ่าสวี่เคลื่อนไหวเชื่องช้า นางยกมือวางลงบนที่เท้าแขน น้ำเสียงหรือก็เฉื่อยเนือย “สตรีภายนอกที่ไม่มีหน้าที่การงานอะไรไหนเลยจะเข้าวังได้ ยามนี้เมื่อมีพระราชเสาวนีย์จากไทเฮาก็เท่ากับมีรับสั่ง เมื่อมีรับสั่งก็ย่อมเท่ากับเหมาะสม”
สวี่ซื่อขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง นางเสนอว่า “ไม่เช่นนั้นข้าจะไปยื่นหนังสือเข้าวังเดี๋ยวนี้ แต่จะไม่ทูลขอเข้าเฝ้าไทเฮา หากจะบอกก็แค่เพียงต้องการเข้าไปถวายคำนับฮองเฮา ขอเพียงทรงตอบรับ พรุ่งนี้ข้าย่อมสามารถเข้าวังไปพร้อมกับเจ้าสามได้ นางเองก็จะได้ไม่ต้องอยู่เพียงลำพัง”
“ทำเช่นนั้นเกรงว่าจะไม่เหมาะ” ฮูหยินผู้เฒ่าสวี่ถอนหายใจเบาๆ น้ำเสียงคล้ายอ่อนระโหยเล็กๆ “ความคิดนี้ของเจ้าแม้จะดี ทว่าไทเฮาตัดสินพระทัยเรียกพบเจ้าสามเพียงลำพัง การนี้เชื่อว่าต้องทรงมีทางหนีทีไล่อื่นอยู่ก่อนแล้ว ต่อให้เจ้ายื่นหนังสือเข้าวัง ในวังก็ใช่ว่าจะตอบตกลงทันที”
ความหมายที่ซ่อนแฝงอยู่ในคำพูดก็คือยิ่งคนของจวนกั๋วกงรีบร้อนเข้าวัง ไทเฮาก็จะยิ่งไม่พอพระทัย แม้นทำตาม นับแต่พรุ่งนี้ชีวิตของเฉินอิ๋งย่อมไม่แคล้วยากลำบาก
เพราะสวี่ซื่อเข้าใจเหตุผลข้อนี้ นางจึงไม่พูดอะไรอีก
อย่างไรนางก็พยายามเต็มที่แล้ว มากกว่านี้นางย่อมไม่อาจทำอันใดได้
ยามนี้ฮูหยินผู้เฒ่าสวี่ก็ไม่พูดอะไรเช่นกัน ทำเพียงมองไปทางเฉินอิ๋ง
นัยน์ตาหงส์ของหญิงชราชี้ขึ้นเล็กน้อย คิ้วเรียวยาวถึงจอนผม เชื่อว่าใบหน้าเช่นนี้ในอดีตต้องทำบุรุษหวั่นไหวมาไม่น้อย เพียงแต่ครั้นเฒ่าชราดวงตาคู่นั้นก็มิได้เต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์สิเน่หาเหมือนกาลก่อนอีกต่อไป ตรงกันข้ามกลับอึมครึมเยี่ยงจิ้งจอก ดุดันไม่ต่างอะไรกับศาสตราคมกริบ ไม่ใกล้เคียงคำว่างดงามอีก
“เจ้าสาม เจ้านึกเสียใจหรือไม่” นางถามเฉินอิ๋ง ดวงตาหลุบลงเล็กน้อย
มือที่ถือผ้าเช็ดหน้าของสวี่ซื่อกุมเข้าหากันแน่น ในใจรู้สึกเป็นกังวลอยู่เล็กๆ
ที่เฉินอิ๋งตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ เหตุผลทั้งหมดล้วนอยู่บนตัวของเฉินจิ่น พอได้ยินฮูหยินผู้เฒ่าสวี่ถามเฉินอิ๋งว่านึกเสียใจหรือไม่ สวี่ซื่อก็พลันรู้สึกอับอาย แต่ถึงกระนั้นก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี
เฉินอิ๋งลุกขึ้น กล่าวด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “หลานไม่นึกเสียใจ”
ฮูหยินผู้เฒ่าสวี่มองนาง รอยยิ้มพึงพอใจระบายอยู่บนใบหน้าซูบผอม
ชาติตระกูลเหนืออื่นใด นี่เป็นเหตุผลที่สตรีกำเนิดในตระกูลสูงศักดิ์ทุกคนพึงเข้าใจ เฉินอิ๋งสามารถเข้าใจเหตุผลข้อนี้ ด้วยฐานะผู้เป็นย่า นางย่อมรู้สึกปลาบปลื้มยินดี
แน่นอนว่าเฉินอิ๋งรู้ดีว่านางคิดเช่นไร
น่าเสียดายก็แต่ความคิดของพวกนางไม่เหมือนกัน
“มีผิดต้องแก้ไข ถูกใส่ไคล้ต้องได้รับความยุติธรรม กระทำผิดต้องรับโทษ นี่เป็นบรรทัดฐานที่หลานกำหนดขึ้นเอง หากว่ากันตามหลักบรรทัดฐานนี้ หลานย่อมไม่นึกเสียใจ” เฉินอิ๋งกล่าวต่อ น้ำเสียงยังคงสงบนิ่ง
สวี่ซื่อก้มหน้า อาศัยจังหวะนี้ปิดบังสายตาประหลาดใจ ส่วนรอยยิ้มบนใบหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าสวี่เองก็ลับหายไปอย่างรวดเร็ว
คำพูดของเฉินอิ๋งกับสิ่งที่ฮูหยินผู้เฒ่าสวี่คิดแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
นางไม่เข้าใจความหมายของผู้อาวุโส อีกทั้งยังดื้อด้านถึงขนาดไม่นึกสนใจชาติตระกูล
“หนทางนี้เร็วช้าเช่นไรก็ต้องเดิน หลานทำได้เพียงรับปากว่าจะพยายามอย่างสุดความสามารถมิให้เกิดปัญหาใดๆ ขึ้นอีก” เฉินอิ๋งพูดแล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนามาเป็นเรื่องการเดินทางเข้าวังที่กำลังจะเกิดขึ้น
ดวงตาของฮูหยินผู้เฒ่าสวี่ปิดลงอีกครา นางรู้ดี หลานสาวผู้นี้กับตนไม่เคยถูกชะตากัน
เด็กสาวคนอื่น แม้นด่าว่าสักนิด ลงโทษสักหน่อย กักตัวสักระยะ จะมากจะน้อยอย่างไรก็ต้องพอดัดนิสัยอีกฝ่ายได้บ้าง แต่คุณหนูสามผู้นี้เห็นชัดว่าไม่มีทางยอมศิโรราบ ไม่จำเป็นต้องลองก็รู้
สายตาของเด็กผู้นี้ชวนให้คนอึดอัดยิ่งนัก หนักแน่นเช่นนั้น มีสติเช่นนั้น ไม่มีเลอะเลือนแม้แต่น้อย
นางรู้ดีว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่ คำพูดทุกประโยคที่นางกล่าวล้วนเป็นบทสรุปที่ผ่านการครุ่นคิดไตร่ตรองมาอย่างรอบคอบ การลงโทษเล็กๆ น้อยๆ พวกนั้น นอกจากไม่มีประโยชน์แล้ว ไม่แน่ว่าอาจทำเสียเรื่องได้
เหตุใดสกุลเฉินถึงได้ให้กำเนิดเด็กประหลาดทำอะไรไม่เหมือนชาวบ้านเยี่ยงนี้ได้
เปลือกตาของฮูหยินผู้เฒ่าสวี่ขยับ นางถอนหายใจเงียบๆ ออกมาคราหนึ่ง
หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ ในที่สุดนางก็เอ่ยปากพร้อมลืมตาขึ้นช้าๆ “ต่อให้เกิดปัญหาขึ้นก็ไม่เป็นไร”
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือนกุมภาพันธ์ 66)