บทที่ 228 มามาสกุลฮั่ว
“คุณ…ชาย” หลัวมามายามนี้เห็นเฉินอิ๋งแล้ว นางรีบหยุดพูดเดินตรงเข้ามา “ท่านเสร็จธุระแล้วกระนั้นหรือ”
“ยังอีกสักครู่” เฉินอิ๋งตอบ สายตากวาดมองไปทางหญิงชราผู้นั้น
บังเอิญในเวลาเดียวกันอีกฝ่ายก็หันมองมาพอดี ที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าเฉินอิ๋งคือใบหน้าซูบผอมดำคล้ำ ดวงตาอ่อนโยนเมตตา ทว่าโครงเส้นบริเวณกรามล่างกลับดุดันเห็นได้ชัดถึงนิสัยเด็ดขาดในอดีต ยามนี้แม้จะชราเฒ่าแต่ก็ยังแลดูคล่องแคล่ว
“คารวะคุณชายสาม” หญิงชราผู้นั้นแสดงคารวะต่อเฉินอิ๋งพลางกล่าวถ้อยคำทางการ
เพราะเฉินอิ๋งไม่รู้จักอีกฝ่ายและไม่กล้ารับคารวะของนางจึงเบี่ยงกายเลี่ยงเล็กน้อย
หลัวมามาเดินขึ้นหน้าพูดเสียงแผ่ว “เรียนคุณชาย มามาผู้นี้แซ่ฮั่ว เป็นมามารับใช้ข้างกายท่านโหวน้อย คราก่อนที่หอชุมนุมซื่ออี๋ ตอนผู้น้อยออกไปซื้ออาภรณ์ที่ร้านเสื้อผ้าสำเร็จรูปข้างนอกก็ได้ฮั่วมามาช่วยจัดการเป็นธุระให้ ด้วยเหตุนี้ผู้น้อยถึงได้รู้จักนาง”
ที่แท้นางก็คือฮั่วมามา
เฉินอิ๋งได้ยินชื่อนี้มานานแล้ว ว่ากันว่าฮั่วมามาผู้นี้เฝ้าดูท่านโหวน้อยเติบใหญ่มาตั้งแต่ครั้นยังเล็ก นับแต่ท่านย่าของเผยซู่สิ้น สองนายบ่าวก็ใช้ชีวิตประคับประคองซึ่งกันและกันอยู่ในจวนโหวหลังใหญ่นั่น
“ที่แท้ก็ฮั่วมามานี่เอง ข้าเสียมารยาทแล้ว” เฉินอิ๋งพยักหน้าทักทายอีกฝ่าย
ฮั่วมามายิ้มกล่าว “บ่าวรบกวนความสงบของคุณชายสาม ขอคุณชายสามได้โปรดให้อภัยด้วย” พูดจบนางก็ไอออกมาสองครา
พอเห็นเช่นนั้นเฉินอิ๋งก็หันไปเลิกม่านประตูออก “มามารีบเข้ามาข้างในก่อนเถอะ ด้านนอกหิมะตก”
ฮั่วมามารีบโบกไม้โบกมือ ยิ้มฟันหลอพลางกล่าว “บ่าวมิกล้า แค่หิมะตกเท่านั้น หาเป็นอันใดไม่”
ยังไม่ทันพูดจบนางก็ไอออกมาอีก สองแก้มแดงผิดปกติ ดูก็รู้แล้วว่ากำลังป่วย
หลัวมามาเพราะนึกถึงน้ำใจของอีกฝ่าย ยามนี้จึงช่วยเฉินอิ๋งพูดอยู่ข้างๆ อีกแรง “มามารีบเข้ามาก่อนเถอะ ตอนนี้ท่านโหวน้อยยังไม่มา ท่านก็เข้ามาอบอุ่นร่างกายสักหน่อยก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
เฉินอิ๋งกล่าว “มามาเข้ามาดื่มชาร้อนสักคำก่อนเถิด วันนี้อากาศเหน็บหนาวยิ่งนัก”
พอเห็นพวกนางสองคนเอ่ยวาจาเกรงอกเกรงใจเช่นนั้น ฮั่วมามาก็ไม่กล้าเอ่ยปากปฏิเสธอีก นางซอยเท้าเดินเข้ามา
หลัวมามารีบเข้าไปพยุงพลางกล่าว “ค่อยๆ เดิน พื้นนี้ลื่นยิ่งนัก”
เฉินอิ๋งเลิกม่านขึ้นเล็กน้อย ฮั่วมามาร้องเสียงหลง “มิได้ๆ” หลัวมามากลับออกแรงฝืนส่งนางเข้าไปในห้อง ก่อนจะหยิบถ้วยสะอาดๆ ใบหนึ่งมารินน้ำชาให้กับนาง เฉินอิ๋งเชิญนางนั่งผิงไฟอยู่ข้างเตา
ฮั่วมามาอายุไม่ใช่น้อยแล้ว หลังจากนั่งลง เพราะรู้สึกมือเท้าเย็นจนแข็งทื่อไปหมด นางจึงยกมือขึ้นทุบขาทั้งสองข้างพลางเอ่ยปากกระแหนะกระแหนตนเอง “น่าขายหน้ายิ่งนัก ยายเฒ่ากระดูกกระเดี้ยวไม่เอาไหนเช่นบ่าว ยามนี้ได้แต่เป็นภาระผู้อื่นแล้ว”
หลัวมามาที่อยู่ข้างๆ ยิ้มกล่าว “พูดอะไรเช่นนั้น กระดูกของท่านยังแข็งแรงดี ยังเสวยสุขได้อีกนาน”
เฉินอิ๋งกล่าวต่อ “ฮั่วมามาสีหน้าท่าทางกระฉับกระเฉง เชื่อว่าอายุต้องยืนถึงร้อยปี”
ยามพูดจาน้ำเสียงของนางฟังดูอ่อนโยนยิ่งนัก เห็นได้ชัดว่าฮั่วมามาผู้นี้น่าจะรู้จักนางอยู่ก่อนแล้ว นับแต่เห็นหน้านางจนถึงยามนี้ ใบหน้าของหญิงชราล้วนสุขุมเยือกเย็น ไม่แสดงสีหน้าประหลาดใจอันใดแม้เพียงน้อย เห็นได้ชัดว่าเผยซู่ได้บอกเรื่องในวันนี้ให้ฮั่วมามารับรู้หมดสิ้น
“วันนี้บ่าวออกมาเลือกซื้อของ” บางทีอาจเพราะเกรงเฉินอิ๋งจะสงสัย ฮั่วมามายามนี้ถึงได้ยิ้มตาหยีเอ่ยปากเล่าที่มาที่ไปให้นางฟัง “เพราะท่านโหวกำลังจะไปจากจี่หนานแล้ว บ่าวเลยคิดว่าจะดีจะชั่วเช่นไรก็น่าจะซื้อของอะไรติดมือกลับไปฝากผู้อื่นบ้าง จะได้ไม่ถูกผู้คนติฉินนินทาว่าจวนโหวไร้มารยาท ทว่าท่านโหวไม่ชอบเรื่องพวกนี้ ถึงมอบหมายให้ผู้อื่นจัดการเอง วันนี้ท่านโหวบังเอิญออกจากจวน จึงให้ผู้อื่นตามมาด้วย จะได้แวะซื้อของกลับไป ไม่ต้องออกมาตระเวนซื้อของตามลำพัง”
เฉินอิ๋งมิได้กล่าวอันใด หลัวมามากลับเอ่ยปากยกย่องไม่หยุด “ท่านโหวน้อยช่างมีน้ำใจยิ่งนัก รู้จักเห็นอกเห็นใจคนชราผู้ตกทุกข์ได้ยาก ท่านได้พบกับนายผู้ประเสริฐแล้ว”
คำพูดนี้พูดโดนใจฮั่วมามายิ่งนัก นางใบหน้ายิ้มแย้มเบิกบานเต็มไปด้วยริ้วรอยยับย่น “ท่านพูดถูกแล้ว บ่าวเช่นข้านับว่าตกอยู่ในรังวาสนาจริงๆ”
หลัวมามาเอ่ยปากกล่าววาจาอันเป็นสิริมงคลออกมาอีกสองสามคำ จนอีกฝ่ายปลาบปลื้มไม่รู้สิ้น วาจายิ้มหัวดังอยู่มิได้ขาด บรรยากาศคึกคักกว่าตอนที่เผยซู่อยู่เมื่อครู่มากโข
หลังจากพูดคุยสัพเพเหระกันอยู่ครู่หนึ่ง ฮั่วมามาก็ค่อยๆ เก็บรอยยิ้ม นั่งขยับเนื้อขยับตัวไม่เป็นสุข นางกล่าวว่า “บ่าวมีเรื่องใคร่ถามคุณชายสามเรื่องหนึ่ง ไม่ทราบว่าได้หรือไม่”
หญิงชราสีหน้ากระอักกระอ่วน น้ำเสียงกดต่ำลงหลายส่วน