บทที่ 229 เจื้อยแจ้วข้างเตา
เฉินอิ๋งตะลึงไปกับคำพูดของอีกฝ่าย
ฮั่วมามามองมาทางเฉินอิ๋งด้วยสายตาปลาบปลื้ม หางตาแดงระเรื่อพลางกล่าว “บางทีคุณชายสามอาจจะไม่ทราบ แต่ไหนแต่ไรมาท่านโหวก็ไม่ชอบพูดถึงเรื่องพวกนี้ ได้แต่เก็บมันไว้ในใจ บางครั้งบ่าวเองก็กลัวว่าท่านโหวจะอัดอั้นตันใจจนล้มป่วย นี่เป็นครั้งแรกที่ท่านโหวยอมบอกเล่าเรื่องนี้กับผู้อื่น บะ…บ่าวคิดว่าหากคุณชายสามไม่รังเกียจ ช่วยรับฟังคำพูดของบ่าวสักสองสามประโยค ไม่ทราบว่าจะได้หรือไม่”
นางมองมาด้วยสายตาวาดหวัง น้ำตาที่เอ่อท้นอยู่ในดวงตาขุ่นมัวส่องประกายระยิบระยับ
เฉินอิ๋งรู้สึกประหลาดใจ สองตาเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย มองดูอีกฝ่ายโดยไม่พูดอันใด
ฮั่วมามาถอนหายใจยาวๆ ออกมาคราหนึ่ง “คุณชายสามเป็นคนดี แค่เห็นเพียงปราดเดียวบ่าวก็รู้ได้แล้ว เรื่องสถานพำนักที่คุณชายสามคิดจะสร้างนั้นถึงบ่าวจะไม่รู้ว่าคืออะไร แต่ถึงกระนั้นบ่าวก็รู้สึกได้ว่าหากยามคุณหนูใหญ่มีชีวิตอยู่มีสถานที่เช่นนั้น คุณหนูใหญ่ก็คงไม่…”
จู่ๆ นางก็ไม่อาจพูดต่อ ฮั่วมามาหยิบเอาผ้าเช็ดหน้าออกมาซับหางตา ตอนปริปากขึ้นอีกคราน้ำเสียงของนางกลับสั่นสะท้านเบาๆ “บ่าวจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้คุณชายสามฟัง หลังฟังบ่าวเล่าจบ คุณชายสามก็จะเข้าใจได้เองว่าเหตุใดวันนี้ท่านโหวถึงได้ตกลงรับปากคุณชายสาม”
ตอนพูดน้ำเสียงของนางเต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกอาดูรเสียดาย
“หากเป็นไปได้มามาก็เล่ามาเถิด ข้ายินดีรับฟัง” เฉินอิ๋งพูดพลางยกกาน้ำชา รินชาร้อนให้ฮั่วมามาต่อ
เห็นได้ชัดว่ามามาผู้นี้ปรารถนาจะให้นางได้รับรู้เรื่องราวทั้งหมดทั้งมวล บางทีอาจเพราะเอ็นดูเผยซู่ ไม่อาจทนเห็นเขาทรมานตนเอง หรือไม่ก็อาจเพียงเพราะใคร่ระบายความรู้สึกออกมาเท่านั้น แต่ไม่ว่าจะด้วยเพราะเหตุใด เฉินอิ๋งล้วนรู้สึกว่านางมีหน้าที่และมีความรับผิดชอบที่พึงทำตนเป็นผู้ฟัง
พอเห็นเฉินอิ๋งรับปากเช่นนั้น ฮั่วมามาก็คล้ายถอนหายใจโล่งอก นางกล่าวขอขมาเฉินอิ๋งคราหนึ่ง ยกถ้วยชาขึ้นดื่มก่อนจะเริ่มเอ่ยปากเล่า
“ยามนั้นหลังอดีตท่านโหวกับคุณชายทั้งสองสิ้น ฮูหยินกับสะใภ้ใหญ่สะใภ้รองต่างถูกคนนอกบอกว่าพวกนางชะตา ‘ข่มสามี’ บ่าวยังจำได้ ช่วงที่พวกนางไว้ทุกข์อยู่ภายในจวน มักมีคนคอยชี้มือชี้ไม้กล่าววาจาเหลวไหลอยู่เสมอ ต่อมาเรื่องนี้ก็แพร่สะพัดไปทั่วเมือง”
พูดถึงตรงนี้นางก็หยุดไปครู่หนึ่ง สีหน้าทุกข์ระทมมาก
เรื่องนี้เป็นเช่นไรเฉินอิ๋งย่อมจินตนาการได้ไม่ยาก ถึงนางจะไม่เคยได้ยินเรื่องดังกล่าว แต่ก็พอจะเข้าใจถึงสถานการณ์ในยามนั้นได้อยู่
“ในตอนนั้นท่านโหวอายุยังน้อย ต่อให้มีบรรดาศักดิ์เป็นโหว แต่ถึงกระนั้นจวนโหวก็ไม่อาจเทียบกับอดีตได้ ไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนเข้ามากลั่นแกล้งกันถึงที่ได้” ฮั่วมามาเล่าให้นางฟังต่อ น้ำเสียงเชื่องช้าลงอย่างยิ่งยวด
“หลังจากนั้นประมาณสองสามปี นายท่านผู้เฒ่า ฮูหยิน และสะใภ้ทั้งสองก็ล้วนอำลาจากโลกนี้ไป เหลือก็แต่ฮูหยินผู้เฒ่าที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่ถึงกระนั้นก็ต้องดื่มยาประทังชีวิตอยู่เป็นนิตย์ ยามนั้นในจวนจัดงานศพกันแทบจะเรียกว่าวันเว้นวัน ทั่วทั้งจวนเต็มไปด้วยกลิ่นเผากระดาษเงินกระดาษทอง จากหน้าประตูจนถึงลานเรือนด้านหลัง ตลอดทางไม่อาจมองเห็นสีอื่นอันใด จะมีก็แต่สีขาวกับสีขาว ไม่ต่างอันใดกับหิมะโปรยปราย ชวนให้ผู้คนหนาวสะท้านจับขั้วหัวใจ”
ฮั่วมามายกมือขึ้นเช็ดหางตา น้ำเสียงสั่นระริกชัดแจ้งยิ่งกว่าเมื่อครู่ “จนถึงยามนี้บางครั้งบ่าวก็ยังฝัน…ฝันเห็นสถานการณ์ในเวลานั้น หลังจากนั้นก็สะดุ้งตื่น ไม่อาจข่มตาหลับได้อีกตลอดคืน”
นางถอนหายใจพลางส่ายหน้า ใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยยับย่นสะท้อนอยู่กับเปลวไฟในเตา แลดูรันทดเกินบรรยาย “เฮ้อ…”
เฉินอิ๋งนิ่งฟัง ทว่าในใจกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกร้าวราน
ชีวิตของเผยซู่ชวนให้คนนึกทอดถอนใจจริงๆ มิน่าเขาถึงได้มีนิสัยขัดแย้งกันเช่นนี้ ที่แท้ก็เพราะเหตุนี้