บทที่ 232 หิมะโปรยปราย
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเฉินเซียงก็พยักหน้า เอ่ยวาจาแผ่วเบายิ่งยวด “น้องสามกล่าวได้ถูกต้องแล้ว อันที่จริง…ตอนนั้นข้าเองก็อยู่ที่นั่น แม้จะพยายามเตือนนางเช่นไรก็เตือนไม่สำเร็จ ต่อมาท่านย่าบอกว่า…บอกว่าข้าไม่เหมือนคนเป็นพี่ ต้องการให้ข้าใคร่ครวญให้ดีว่าต้องทำเช่นไรถึงจะเป็นพี่ที่ดีได้”
“ท่านย่าย่อมต้องมีเหตุผล” เฉินอิ๋งตอบด้วยน้ำเสียงปลอบประโลม
อยู่ดีๆ ก็ถูกเฉินหานลากเข้าไปมีส่วนพัวพันด้วยเช่นนี้ เฉินเซียงนับว่าโชคร้ายโดยแท้
ทว่าเรื่องนี้ฮูหยินผู้เฒ่าสวี่หาได้ทำผิดอันใดไม่
เฉินเซียงอ่อนแอเกินไป จุดอ่อนนี้ของนางทุกคนต่างรู้ชัด หากไม่ยอมแก้ไข ถึงคราวออกเรือนไป ชีวิตในภายภาคหน้าเกรงว่าจะยิ่งยากลำบาก
“ข้ารู้ว่าท่านย่าหวังดีต่อข้า” เพราะเฉินเซียงเองก็เข้าใจถึงความลำบากใจของอีกฝ่าย ยามนี้นางจึงพูดขึ้น สีหน้าละอายใจปรากฏชัดอยู่บนใบหน้า “ข้าก็แค่…บางครั้งใจไม่แข็งพอ ตอนนี้ข้ากำลังพยายามปรับปรุงอยู่”
พอพูดถึงตรงนี้นางก็เหมือนกลัวเฉินอิ๋งจะไม่เชื่อจึงรีบเอ่ยปากต่อ “วันนี้ข้ามาหาน้องสาม ไม่ใช่เพียงเพื่อน้องสี่ หากแต่ยังเพื่อตนเอง ข้ายามนี้…”
ใบหน้าของเฉินเซียงแดงระเรื่อขึ้นอีกครา ทว่าคราวนี้นางเขินอายจริงๆ
เฉินอิ๋งเข้าใจได้ทันที นางอดยิ้มออกมาไม่ได้พลางเอ่ยปากหยอกเอิน “พี่รองเองก็ต้องคุยเรื่องออกเรือน เช่นนั้นย่อมควรรีบกลับเมืองหลวง”
เฉินเซียงหน้าแดงราวกับผืนผ้าสีแดงสด แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงพยักหน้าหนักแน่น “อืม…ใช่แล้ว เป็นเช่นนั้นจริงๆ…”
เฉินอิ๋งไม่เคยพบพานสตรีคนใดที่หน้าแดงบ่อยกว่าเฉินเซียงมาก่อน แม้นางจะพยายามไม่มอง แต่ใบหน้าของเฉินเซียงกลับยังคงแดงมากขึ้นทุกทีจนแทบจะไม่ต่างอันใดกับถูกไฟลวก
หลังจากฝืนนั่งอยู่ครู่หนึ่ง เฉินเซียงก็ทนนั่งต่อไปไหว นางลุกขึ้นขอตัวลา แทบจะเรียกได้ว่าลนลานพรวดพราด ตอนออกจากประตูไปยังเกือบชนเข้ากับหลัวมามาที่กำลังเดินเข้ามาพอดี
“อา คุณหนูรอง เกิดอะไรขึ้นกระนั้นหรือ” หลัวมามาถูกทำให้ตกใจจนม่านประตูแทบหลุดมือ นางยกมือขึ้นตบอกกล่าว “คุณหนูค่อยๆ เดินเถอะ ระวังจะหกล้ม”
เฉินเซียงชะงักเท้า หน้าแดงพูดพึมพำแผ่วเบาไม่ต่างอะไรกับเสียงยุง ไม่รู้ว่าที่พูดออกมาคือคำขออภัยหรือคำอธิบาย ก่อนจะเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
หลัวมามามองดูม่านประตูเรือนตะวันออกที่กำลังทิ้งตัวลง แม้จะรู้สึกประหลาดใจแต่นางก็มิได้พูดอันใด ทำเพียงเดินเข้าไปในเรือนค้อมกายแสดงคารวะต่อเฉินอิ๋ง “คุณหนูจะไปตอนนี้เลยหรือไม่ รถม้ารออยู่ข้างนอกเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”
“ไปกันเถอะ” เฉินอิ๋งลุกขึ้นพูด ผินหน้ามองดูกาน้ำหยดที่ตั้งอยู่อีกด้าน
ใกล้ต้นยามเซินแล้ว ท้องฟ้ามืดครึ้มกว่าก่อนหน้านี้พอสมควร โชคดีที่นางกับกัวหว่านไม่ได้กำหนดเวลานัดหมายไว้แน่ชัด บอกเพียงแต่พบกันวันนี้ตอนบ่ายเท่านั้น หาไม่แล้วการขัดจังหวะของเฉินเซียงเมื่อครู่เกรงว่าคงทำเฉินอิ๋งไปสาย
“สภาพอากาศเช่นนี้คล้ายหิมะกำลังจะตก คุณหนูเตรียมร่มไปด้วยเถอะเจ้าค่ะ” สวินเจินที่อยู่ข้างๆ ชะโงกหน้ามองออกไปนอกม่านพลางกระซิบเตือน
บรรยากาศในลานเรือนเงียบเหงาซบเซาแทบไม่มีลม อุณหภูมิไม่ได้ต่ำจนเกินไปนัก กลุ่มเมฆหนาหนักสีหม่นที่กระจายอยู่ทั่วแผ่นฟ้าทาบทับอยู่เหนือกำแพง แสงตะวันอึมครึมลงทุกขณะ
“เอาร่มไปด้วยก็ดีเหมือนกัน หิมะคงตกลงมาอีกเป็นแน่” เฉินอิ๋งกล่าวก่อนจะเดินออกนอกประตูไป
หลังจากเดินออกไปได้ไม่นานหิมะก็เริ่มโปรยปราย ที่ลอยละล่องลงมาในช่วงแรกเป็นก็แค่เพียงละอองหิมะเล็กละเอียดบางเบาเท่านั้น
ครั้นตกถึงพื้นพวกมันยังคล้ายกลิ้งได้อยู่ ตอนรถม้าวิ่งอยู่บนถนนชีเสียนละอองหิมะก็เริ่มเกาะตัวใหญ่ขึ้น โปรยปรายปลิวว่อนไปทั่ว เหนือชายคาบ้านเรือนตลอดสองข้างทางล้วนถูกปกคลุมด้วยเกล็ดน้ำแข็งบางๆ
ร้านเซียงอวิ๋นตั้งอยู่ที่ตรอกซย่าหม่าซึ่งอยู่ติดกับถนนชีเสียน ตอนเฉินอิ๋งลงจากรถม้า นางกวาดตามองไปรอบๆ ก่อนจะพบต้นหลิวจำนวนมากส่ายไหวคล้ายเริงร่ายตกแต่งประดับประดาเมืองเก่าเงียบสงัดแห่งนี้
ผู้คนที่สัญจรไปมาบนท้องถนนยามนี้มีจำนวนไม่มากนัก ทว่าการปรากฏตัวของนางกลับดึงดูดสายตาคล้ายมีคล้ายไม่มีของผู้คนจำนวนไม่ใช่น้อย อาภรณ์กันหนาวแขนยาวลายกิ่งเหมยสีชมพูที่เห็นได้อยู่รางๆ ใต้หมวกม่านแพรนั้นสะดุดตาผู้คนเกินไปอยู่สักหน่อย