บทที่ 235 เฒ่าชราเสน่หาลดเลือน
เฉินอิ๋งมองหมิงซินอยู่ครู่หนึ่ง รอยยิ้มบนใบหน้าลึกล้ำมากยิ่งขึ้น
ท่าทีเศร้ารันทดของหมิงซินแลดูจอมปลอมอยู่เล็กๆ
ทว่านั่นก็หาได้มีความหมายอันใดไม่
เฉินอิ๋งเองมิใช่ญาติสกุลเหอ ยิ่งไปกว่านั้นนางเองก็ไม่เคยเห็นด้วยกับเรื่องสิ้นคิดอย่างบ่าวผู้ภักดีนายตายบ่าวตามอะไรพวกนั้น นางยินดีเผชิญหน้ากับคนถ่อยใจกล้าอย่างหมิงซินมากกว่าปรารถนาจะเห็นคนผู้หนึ่งตกเป็นทาสทางใจของผู้อื่น
อีกอย่างการตายของนายท่านผู้เฒ่าเหอเองก็ส่งผลกระทบต่อหมิงซินเช่นกัน ทำให้นางจำเป็นต้องเปลี่ยนเป้าหมาย หากว่ากันจากจุดนี้ หมิงซินเองก็เป็นผู้เสียหายด้วย
“เจ้าไม่เคยคิดจะช่วยใต้เท้าเหอให้กลับมายืนหยัดได้อีกครั้ง?” เฉินอิ๋งเอ่ยถาม คำถามนี้เกิดจากความอยากรู้อยากเห็นของนางล้วนๆ
คนที่มีความทะเยอทะยานเปี่ยมล้นอย่างหมิงซินน่าจะชอบควบคุมผู้อื่นด้วยมือตนเองมากกว่าจะติดตามนายผู้ชาญฉลาด เพราะหากทำเช่นนั้นนางย่อมมิอาจตระหนักได้ถึงคุณค่าของตนเอง
ได้ยินเฉินอิ๋งถามเช่นนั้น ความรู้สึกเศร้ารันทดบนใบหน้าของหมิงซินก็พลันจางหาย นางกล่าววาจาแย้มยิ้มเบิกบาน “ความสามารถของใต้เท้าเหอมีจำกัด ผู้น้อยรู้สึกว่าสติปัญญาของเขาเกรงว่าคงทุ่มเทหมดสิ้นไปกับการในครั้งนี้แล้ว”
พูดอีกอย่างก็คือนางไม่เห็นค่าของ ‘หยกดิบ’* อย่างเหอจวินเฉิง ดังนั้นจึงตัดสินใจเสาะหาเส้นทางแห่งความรุ่งโรจน์สายใหม่
เฉินอิ๋งอดนึกชื่นชมไม่ได้ คาดว่าทั่วทั้งต้าฉู่คงมีสาวใช้อย่างหมิงซินเพียงคนเดียวเท่านั้นที่กล้าดูแคลนบุรุษผู้เป็นนายเยี่ยงนี้
“เจ้าออกจากบ้านสกุลเหอ ใต้เท้าเหอตัดใจได้กระนั้นหรือ” เฉินอิ๋งถามขึ้นอีกคราว
หมิงซินมิได้ตอบออกมาตรงๆ มีก็แต่เพียงริมฝีปากแดงระเรื่องดงามราวบุปผาเท่านั้นที่ยกขึ้นน้อยๆ “ใต้เท้าเหอเป็นคนดี”
แค่ประโยคนี้เพียงประโยคเดียว ไม่มีถ้อยคำอื่นใด
เฉินอิ๋งนึกนับถือใจของอีกฝ่ายขึ้นมาอีกครา
เหอจวินเฉิงจะดีจะชั่วเช่นไรอย่างไรก็เป็นอัจฉริยะที่ผ่านการสอบคัดเลือกในระดับมณฑลมาได้ นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าสุดท้ายกลับมิอาจต้านทานคำพูดเพียงสองสามประโยคของสตรีอย่างหมิงซิน คำพูดที่ว่า ‘วีรบุรุษผู้กล้ายากจะผ่านด่านโฉมสะคราญ’ วันนี้นางได้ประจักษ์ต่อสายตาแล้วจริงๆ
“เช่นนั้นข้าสรุปเช่นนี้ได้หรือไม่ ที่แม่นางหมิงซินจงใจเลือกบ้านสกุลหาน อันที่จริงเป้าหมายกลับอยู่ที่นายหญิงสี่สกุลฉิว” หลังจากนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เฉินอิ๋งก็เอ่ยปากขึ้นอีกคราว
นับเป็นคำพูดที่ยากจะคาดถึงจริงๆ
หมิงซินตะลึง นางเงยหน้ามองดูเฉินอิ๋งปราดหนึ่ง
เฉินอิ๋งจ้องตาอีกฝ่ายกลับพร้อมรอยยิ้มจางๆ “เจ้ารู้ดีว่าผู้คนในเผิงไหลต่างล้วนรู้จักเจ้า หากยังอยู่บ้านสกุลเหอต่อย่อมยากที่จะก้าวหน้าอันใดได้ วันหน้าต่อให้ไปบ้านสกุลอื่น ก็ไม่แน่ว่าจะมีโอกาสแสดงความสามารถ ส่วนชีวิตความเป็นอยู่ในบ้านสกุลหานนั้นเอื้ออำนวยต่อเจ้าเพียงใดไม่จำเป็นต้องพูดถึง นอกจากนี้ยังมีนายหญิงสี่สกุลฉิวที่เปี่ยมไปด้วยความสามารถ เจ้ารู้ว่าน้ำมันหอมระเหยของสกุลหานมีนายหญิงสี่สกุลฉิวควบคุมอยู่ และยิ่งรู้ว่าขอเพียงติดตามนาง ไม่ว่าเช่นไรย่อมมีสักวันที่นางจะพาเจ้าออกไปจากเผิงไหล มอบโอกาสให้เจ้าได้โบยบินใช่หรือไม่”
ภายในห้องมีก็แต่ความเงียบงัน
หลังจากผ่านไปสองสามอึดใจ หมิงซินก็ถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง กล่าววาจาอย่างอับจนว่า “คุณหนูสามฉลาดปราดเปรื่องยิ่งนัก ขอท่านอภัยด้วย ผู้น้อยน่าจะพูดความจริงกับท่านตั้งแต่แรก”
เฉินอิ๋งมุมปากกระตุก “ข้าก็แค่อยากรู้เท่านั้น ทุกอย่างที่เจ้าทำมาล้วนถูกกฎหมาย ข้าหามีคุณสมบัติอันใดเข้าไปข้องเกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่”
หมิงซินตะลึง เห็นได้ชัดว่านางไม่อาจตามความคิดอ่านของเฉินอิ๋งได้ทัน
หากเป็นสตรีสูงศักดิ์คนอื่นๆ ยามนี้คงไม่พอใจยิ่งยวดแล้ว ผู้ที่มีฐานะสูงส่งกว่า ความปรารถนาในการควบคุมย่อมต้องมากกว่าผู้อื่นเป็นธรรมดา