บทที่ 237 ผู้รับเหมารายใหญ่
“ช่างเถอะ มามารีบเรียกแม่ทัพหลางเข้ามาเถิด” พอเห็นหลัวมามานิ่งเงียบไม่พูดอันใด เฉินอิ๋งก็ยิ้มเอ่ยปากเตือน
หลัวมามาได้สติ นางรีบขานรับและเรียกบ่าวตัวน้อยให้เข้ามารับคำสั่ง ส่วนนางเองก็คอยยืนรับใช้อยู่อีกด้าน
เฉินอิ๋งอาศัยจังหวะขณะกำลังว่างกวาดตามองไปรอบๆ ความรู้สึกปลาบปลื้มเอ่อท้นไปทั้งใจ
อากาศอบอุ่นขึ้นทีละน้อย หิมะน้ำแข็งบนพื้นเริ่มละลาย สำนักศึกษาสตรีเฉวียนเฉิงกับสถานพำนักเด็กและสตรียามนี้กำลังก่อสร้างอย่างขมีขมัน ทุกอย่างล้วนดำเนินไปอย่างราบรื่น
งานนี้เผยซู่ทุ่มเทกำลังอย่างเต็มที่ ท่าทีขององค์รัชทายาทหรือก็เป็นไปด้วยความกระตือรือร้น แม้แต่ฮ่องเต้หยวนจยาเองก็ได้ยินว่าทรงเห็นพ้องกับการนี้ด้วยเช่นกัน เฉินอิ๋งเพลานี้เท่ากับมีป้ายผ่านที่แข็งแกร่งที่สุดในราชสำนักต้าฉู่แล้ว ต่อจากนี้ไม่ว่าจะซื้อที่ดิน ซื้อไม้ ซื้อหิน รวมถึงคนงานย่อมล้วนสามารถดำเนินไปตามแผนการที่วางไว้ก่อนหน้า คนงานที่เฉินอิ๋งว่าจ้างมาล้วนแต่เป็นชาวบ้านอพยพจากทางเติงโจว นับตั้งแต่ปลายปีที่แล้วจนถึงยามนี้ พวกชาวบ้านอพยพที่มาพำนักอยู่ในสำนักศึกษาสตรีเฉวียนเฉิงมีจำนวนเกินกว่าร้อยคนแล้ว ในจำนวนนี้มีหกส่วนเป็นแรงงานที่อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาทั้งครอบครัว สี่ส่วนที่เหลือเป็นแรงงานที่คนในครอบครัวล้มตายหายสาบสูญหรือไม่ก็เป็นแรงงานเด็กและสตรีกำพร้าอ่อนแอ ซึ่งคนเหล่านี้ยามนี้ครึ่งหนึ่งเป็นพวกลูกมือ อีกครึ่งพำนักอยู่ในสำนักศึกษาสตรีเฉยๆ เรียกได้ว่าเป็นการช่วยองค์รัชทายาทแก้ไขปัญหายุ่งยากส่วนหนึ่ง
“นี่คือจดหมายที่นายท่านของผู้น้อยฝากมาถึงท่าน” เสียงของหลางถิงอวี้ดังขึ้น ดึงสติของเฉินอิ๋งกลับ
ยามนี้แม่ทัพเตี้ยล่ำผู้นี้กำลังยืนห่างออกไปไม่ไกลสักเท่าใดนัก มือทั้งสองข้างประคองจดหมายฉบับหนึ่ง ตัวอักษรที่เขียนอยู่ด้านบนเป็นลายมือของเผยซู่
หลัวมามาขยับเท้าเดินขึ้นหน้าเข้าไปรับ ก่อนจะมอบมันต่อให้กับเฉินอิ๋ง ขวางมิให้คุณหนูของตนวางตัวใกล้ชิดกับบุรุษอื่นโดยตรง
หลางถิงอวี้ไม่ได้รู้สึกอันใดกับเรื่องดังกล่าว หากกลับเป็นเฉินอิ๋งเสียเองที่มองดูหลัวมามาด้วยสีหน้าจนใจ แต่ถึงกระนั้นนางก็มิได้พูดอันใดออกมา
เรื่องสร้างสำนักศึกษาสตรียามนี้เป็นที่รับรู้กันทั่วแล้ว หลี่เหิงกับหลี่ซื่อเองก็มิเคยก้าวก่ายอันใด ในเมื่อเรื่องนี้องค์รัชทายาททรงออกหน้าร่วม แม้แต่ซือถูฮองเฮาเองก็ยังพระราชทานเงินทองผ้าผืนมาให้ แล้วผู้ใดเล่าจะกล้ายับยั้งห้ามปราม เมื่อไม่มีการขัดขวางจากเหล่าผู้อาวุโส…อย่างน้อยก็ในเวลานี้ เฉินอิ๋งย่อมพึงพอใจยิ่งนัก เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้นางจึงหาได้ใส่ใจไม่
หลังอ่านจดหมายจากเผยซู่จบ เฉินอิ๋งก็เลิกคิ้วมองไปทางหลางถิงอวี้พลางถาม “อีกสองสามวันท่านโหวน้อยจะมาซานตงอีกครั้ง?”
“ขอรับ” หลางถิงอวี้ประสานมือตอบด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ทางเติงโจวเกิดเรื่องขึ้นเล็กน้อย ท่านโหวน้อยของพวกเราได้รับคำสั่งให้แวะมาดูสถานการณ์”
“เกิดเรื่องอันใดขึ้น” เฉินอิ๋งถามก่อนจะยิ้มกล่าวออกมาอีกครั้ง “หากไม่สะดวกจะเล่าก็ช่างเถอะ ท่านโหวน้อยเองก็ไม่ได้เขียนไว้ในจดหมาย ข้าถามเพียงเพราะอยากรู้เท่านั้น”
สีหน้าของหลางถิงอวี้เคร่งขรึมหนักขึ้นไปอีก “ตอนผู้น้อยออกจากเซิ่งจิง ท่านโหวน้อยเองก็ไม่ทราบรายละเอียดอันใดนัก เพียงแต่ตอนผู้น้อยออกจากเติงโจวมาเมื่อหลายวันก่อน เรื่องนี้กลับแพร่กระจายไปทั่วแล้ว เชื่อว่าอีกไม่นานคุณหนูสามก็คงได้ยินข่าวเช่นกัน”
ตอนพูดเขาถอนหายใจเบาๆ ออกมาคราหนึ่ง “ในค่ายผู้อพยพที่เติงโจวเกิดไฟไหม้ มีคนตายไม่ใช่น้อย”
รอยยิ้มบนใบหน้าของเฉินอิ๋งแข็งทื่อไปทันที
ค่ายผู้อพยพนั่นองค์รัชทายาททรงลงมือควบคุมดูแลการก่อสร้างด้วยพระองค์เอง ยามนี้เกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ มิน่าเผยซู่ถึงต้องรีบรุดไปดู
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง นางก็เอ่ยปากถาม “เกิดไฟไหม้ขึ้นได้เช่นไร แม่ทัพหลางพอจะเล่ารายละเอียดให้ข้าฟังได้หรือไม่”
หลางถิงอวี้ส่ายหน้า สีหน้าซึมเซาลง “ที่ผู้น้อยรู้ก็มีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ชาวบ้านที่ถูกไฟคลอกตายพวกนั้นล้วนพักอยู่ในเรือนเดียวกัน ได้ยินขุนนางชั้นผู้น้อยที่ดูแลค่ายผู้อพยพนั่นบอกว่าคนที่อาศัยอยู่ที่นั่นล้มตายกันแทบหมดสิ้น เฮ้อ…”
เขาส่ายหน้า ใบหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกเวทนา ก่อนจะไม่พูดอันใดอีก
อารมณ์ของเฉินอิ๋งหนักอึ้งขึ้นมาทันที หลังจากนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ นางก็ถอนหายใจกล่าว “ภัยธรรมชาติผนวกกับภัยพิบัติจากฝีมือมนุษย์ เด็กและคนชราเหล่านั้นยามนี้คงไปชุมนุมอยู่ด้วยกันยังอีกภพแล้ว”
ผู้อพยพพวกนั้นเร่ร่อนพลัดที่นาคาที่อยู่ก็ด้วยเพราะความอดอยาก หลังมาถึงเติงโจวกลับถูกคนควบคุมจนสูญสิ้นอิสรภาพ กว่าจะมีความหวังขึ้นมาได้ก็ไม่ใช่ง่าย ใครจะไปนึกว่าจะถูกพระเพลิงพรากชีวิตไปอีก ถึงจะเกิดในยุคสมัยที่เจริญรุ่งเรือง แต่ชีวิตกลับต่ำต้อยและต้องตายอนาถ ชะตาชีวิตเช่นนี้ชวนให้คนนึกทอดถอนใจยิ่งนัก