ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ออกจากจวนมาไขคดี บทที่ 660-662
บทที่ 660 ดูแคลนผู้อาวุโส
ครั้นเฉินหานเห็นเช่นนั้นก็โมโหจนแทบตีลังกาหงายหลัง ติดก็ตรงที่เซี่ยเหยียนการตอบสนองคล่องแคล่วว่องไวรวดเร็ว ไม่เปิดช่องให้นางได้เอ่ยปากอันใด
ยามนี้เซี่ยเหยียนยกแขนเสื้อขึ้นแสร้งทำเป็นหลั่งน้ำตาพร้อมย่อกายแสดงคารวะ เอ่ยวาจาเสียงสะอึกสะอื้นว่า “ข้า…ข้าผิดไปแล้วจริงๆ เพราะข้าไม่ระวังเลยเผลอพลั้งปากพูดออกมา ขอพวกท่านทั้งสองอย่า…อย่าได้โกรธข้าเลย อาเหยียนขออภัย”
เอวเล็กบางค้อมอยู่น้อยๆ น้ำเสียงอ่อนแอแผ่วเบา ผนวกกับท่าทางคล้ายร่ำไห้หลั่งน้ำตาอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ ชวนให้เวทนา โชคดีที่ยามนี้ไม่มีบุรุษใดยืนปะปนอยู่ด้วย หาไม่แล้วเกรงว่าต้องมีคนกระโจนออกมาเรียกร้องความเป็นธรรมให้นางแน่
แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นสายตาของเหล่าสตรีทั้งหลายก็ต่างจับจ้องมาที่เฉินอิ๋งกับเฉินหาน บ้างก็เฝ้าติดตาม บ้างก็เคลือบแคลงสงสัย บ้างก็เย้ยหยัน สารพัดสารพัน
เฉินหานถูกอีกฝ่ายทำเอาแทบกระอักเลือด นางกวาดตามอง พบว่าสายตาทุกคู่ยามนี้ล้วนกำลังจับจ้องมองมา ถึงจะไม่มีผู้ใดเอ่ยปากวิพากษ์วิจารณ์ แต่สายตาพวกนั้นก็ไม่ต่างอันใดกับกำลังลงทัณฑ์เฉือนเนื้อเราะกระดูกพวกนางอยู่
ที่ปรากฏต่อสายตาของทุกคนในเวลานี้คือเฉินอิ๋งกับเฉินหานกำลังร่วมมือกันรังแกเซี่ยเหยียน
แน่นอน ไม่มีใครโง่งมพอที่จะตัดสินคนเพียงเพราะคำพูดสองสามประโยคของเซี่ยเหยียน แต่ไม่ว่าเช่นไรเฉินหานผู้เป็นเจ้าบ้านก็ย่อมต้องตกเป็นฝ่าย ‘ขาดทุน’ ก่อน
สีหน้าของเฉินหานกลับกลายเป็นน่าเกลียดน่าชังมากขึ้นทุกที จนแทบเรียกได้ว่า ‘โหดร้ายดุดัน’
“ไปกันเถอะ” จู่ๆ เฉินอิ๋งก็ฉุดดึงนาง
เดิมเฉินหานตั้งใจจะเอาเรื่องกับอีกฝ่าย แต่เพราะเรี่ยวแรงของเฉินอิ๋งมากมายจนน่าตกใจ นางจึงไม่มีโอกาสได้ขัดขืน เฉินอิ๋งดึงนางเดินอ้อมผ่านเซี่ยเหยียนที่ยังคงย่อเข่าแสดงคารวะ แล้วเลี้ยวกลับขึ้นไปตามทางที่มา
“คุณหนูรองเซี่ย เจ้าเอ่ยวาจาไม่รู้จักสำรวม ลบหลู่ผู้อาวุโสกว่า พวกเราหายอมรับคำขออภัยของเจ้าไม่” เส้นเสียงไม่เร็วไม่ช้าใสกระจ่างดุจน้ำลอยละล่องตามลม เงาร่างของดรุณีน้อยทั้งสองหายลึกเข้าไปในระเบียงทางเดินอย่างรวดเร็ว
คนอื่นๆ ที่เหลือต่างมองหน้ากันไปมาอย่างไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรต่อไป
ถึงเฉินอิ๋งจะกล่าวตำหนิเซี่ยเหยียนว่า ‘ลบหลู่ผู้อาวุโส’ ออกมาตรงๆ จนทุกคนพอเข้าใจว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น แต่การปุบปับเดินออกไปเช่นนี้มันไม่เร็วเกินไปหน่อยหรือไร ถึงกับทิ้งเซี่ยเหยียนให้ยังคงย่อกายอยู่ที่นั่น แล้วจะให้พวกนางทำเช่นไรต่อกัน
สกุลเซี่ยถึงอย่างไรก็นับว่ามีหน้ามีตาอยู่ หากละเลยไม่สนใจนาง เช่นนั้นย่อมไม่ดีแน่ แต่มีคำว่า ‘แขกตามแต่เจ้าบ้านจะจัดการ’ ในเมื่อเจ้าบ้านเดือดดาลเยี่ยงนี้ แขกอย่างพวกนางควรหรือที่จะทำตัวขัดใจเจ้าของบ้าน
หากรู้เช่นนี้พวกนางคงไม่มาชมบุปผาแล้ว อันที่จริงพวกนางควรรู้อยู่แต่แรกแล้วว่างานเลี้ยงนี้มีวัตถุประสงค์อื่นแอบแฝง
คนจำนวนไม่น้อยต่างนึกทอดถอนใจเช่นนี้
“ฮ่าๆๆ…” ยามนี้เองเสียงหัวเราะที่ไม่อาจเรียกได้ว่าหัวเราะก็ดังขึ้นติดๆ กัน ทำเอานกกระจอกที่อยู่นอกระเบียงตกใจกระพือปีกบินหนีกันจ้าละหวั่น
สตรีแต่ละนางต่างพากันสะดุ้ง ครั้นมองไปก็พบว่าคนที่หัวเราะคือเฉินชิง
ใบหน้าแย้มยิ้มนั้นน่าเกลียดน่าชังเสียยิ่งกว่าร้องไห้ เฉินชิงหัวเราะพลางกล่าว “ฮ่าๆ พี่สามคงต้องปวดหัวขึ้นมาอีกแล้วแน่ๆ ถึงได้…”
พอพูดถึงตรงนี้จู่ๆ นางก็สะดุ้ง คำพูดนี้ไหนเลยจะพูดเล่นได้ นางรีบเปลี่ยนมาปั้นหน้าเป็นทุกข์ สอดคล้องกับใจนางในยามนี้ นางพูดต่อว่า “อืม…พี่สามคงเพราะปวดหัวหนัก จึงไม่อาจอยู่ต้อนรับทุกท่าน ได้แต่ต้องกลับไปพักผ่อนก่อน คุณหนูใหญ่เฉินแต่ไหนแต่ไรก็สนิทสนมกับนางยิ่ง จึงย่อมต้องไปเป็นเพื่อนนาง เอ่อ…ทั้งหมดก็เช่นนี้”
นางพยักหน้าหนักแน่น คล้ายต้องการให้ผู้อื่นเชื่อมั่นหรือบางทีอาจต้องการให้ตนเองเชื่อเช่นนั้น ก่อนจะเปลี่ยนมายิ้มทักทายคนอื่นๆ “ไปนั่งเล่นที่ศาลากันเถอะ เดินมานานเพียงนี้เชื่อว่าทุกท่านคงเหนื่อยแล้ว พักสักครู่ก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
ยืนอยู่ที่นี่หาใช่ทางออกไม่ หากมีที่ให้ไป บรรยากาศกระอักกระอ่วนย่อมคลี่คลายได้เอง
ความหมายที่ซ่อนแฝงอยู่ในคำพูดนี้ไม่มีผู้ใดไม่เข้าใจ
“ใช่…ใช่ๆ ข้าเองก็เดินจนสองขาระบมไปหมดแล้ว ได้พักสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน” ดรุณีน้อยที่ค่อนข้างสนิทกับเฉินชิงนางหนึ่งยิ้มกล่าว ก่อนจะเดินขึ้นหน้าคว้าแขนของนางแกว่งไกวไปมา “คุณหนูสี่พยุงข้าด้วย ข้าเหนื่อยจะแย่อยู่แล้ว”
ทันทีที่คำพูดดังกล่าวหลุดออกจากปาก เสียงหัวเราะนุ่มนวลน่ารักก็ดังก้องไปทั่วระเบียงทางเดิน ในที่สุดบรรยากาศก็พลันเปลี่ยนแปลง
เฉินชิงยิ้มซาบซึ้งใจให้กับอีกฝ่าย ก่อนจะหันไปทางคนอื่นๆ “ไปเถอะ พวกเราไปดื่มน้ำชากินของว่างกัน”
ทันทีที่พูดจบนางก็เดินนำทางอยู่ด้านหน้า อาศัยจังหวะหมุนตัวหันไปส่งสายตาให้เฉินหยวน
เซี่ยเหยียนไม่ว่าเช่นไรก็เป็นแขก ปล่อยนางไว้เช่นนี้หาได้เหมาะไม่ เฉินชิงต้องการให้เฉินหยวนช่วยรับมือ
ถึงเฉินหยวนจะก้มหน้าก้มตามาโดยตลอด ทว่าการเคลื่อนไหวของพี่สาวผู้เป็นบุตรีในฮูหยินใหญ่นั้นนางล้วนประจักษ์ชัด ยามนี้พอเห็นเช่นนั้นนางก็พยักหน้าน้อยๆ เป็นสัญญาณบอกอีกฝ่ายว่าเข้าใจแล้ว ก่อนจะก้มหน้าถอยไปที่มุมระเบียง ปล่อยให้คนอื่นเดินขึ้นหน้าไปก่อน
ทุกคนต่างพูดคุยยิ้มหัวแสร้งทำเหมือนไม่มีอันใดเกิดขึ้น จับกลุ่มกันกลุ่มละสามคนบ้างสองคนบ้าง มุ่งหน้าตรงไปยังศาลาหลังคาฟางหญ้า เพียงไม่นานที่นั่นก็เหลือเพียงเซี่ยเหยียนกับเฉินหยวน
เฉินหยวนลังเลเดินขึ้นหน้าหมายพูดอะไรบางอย่าง แต่นึกไม่ถึงว่าเซี่ยเหยียนกลับเหยียดกายหันหน้ายิ้มมองดูนาง “คุณหนูห้ากำลังรอข้ากระนั้นหรือ”
เฉินหยวนตะลึง รีบก้มหน้ากล่าว “ใช่แล้ว คุณหนูรองเซี่ยเองก็ไปร่วมดื่มน้ำชาเถิด พวกเราเดินกันอยู่นานแล้ว”
“ขอบคุณคุณหนูห้าที่ยังคิดถึงข้า” เซี่ยเหยียนสะบัดแขนเสื้อ ท่าทางงามสง่า นางกลอกตาพิจารณาดูเฉินหยวนพร้อมยิ้มชื่นชม “คุณหนูห้างดงามยิ่งนัก ไม่ว่าผู้ใดยืนอยู่ต่อหน้าท่านย่อมล้วนนึกละอาย”
เฉินหยวนอึดอัดใจขึ้นมาทันที ศีรษะของนางค้อมต่ำลงทุกขณะคล้ายนึกโมโหที่ไม่อาจปรามมิให้คนจ้องมองใบหน้าของนาง
เซี่ยเหยียนหลุบตาพิจารณาดูอีกฝ่าย ดวงตาวับวาวเป็นประกาย หลังจากนั้นก็หัวเราะออกมาคราหนึ่ง เดินขึ้นหน้าจูงมือนางไว้อย่างสนิทสนม “พวกเรารีบไปกันเถอะ หากชักช้าของกินอร่อยๆ พวกนั้นคงถูกพวกนางกินหมดก่อนแน่”
พูดจบนางก็ลากเฉินหยวนเดินขึ้นหน้า ไม่สนใจว่าอีกฝ่ายยินดีหรือไม่
ท่ามกลางเสียงหัวร่อต่อกระซิกกลางศาลาหลังคาฟางหญ้าที่ดังอยู่ไม่หยุด พวกเฉินอิ๋งเดินเลี้ยวไปทางสวนดอกเหมยแทน
จะว่าไปก็น่าขัน จากเดิมที่ต้องการปลีกตัวไปนั่งเล่นหาความสงบที่ศาลาหลังคาฟางหญ้า นึกไม่ถึงว่าแผนการนี้ไม่เพียงไม่สำเร็จลุล่วง ตรงกันข้าม ยามนี้กลับต้องมาอยู่ที่สวนดอกเหมยที่ก่อนหน้านี้พวกนางพยายามหลบเลี่ยงอย่างสุดกำลังแทน
ในเวลานี้ดอกเหมยทั้งสวนต่างผลิบานส่งกลิ่นหอมจรุง นกกางเขนสองสามตัวเกาะอยู่บนกิ่งก้านบางตา ส่งเสียงจิ๊บๆ อยู่เป็นครั้งคราว เปลี่ยนบรรยากาศเงียบเหงาให้กลับกลายเป็นมีชีวิตชีวา
พวกนางนั่งลงบนตั่งหิน ความรู้สึกอัดอั้นของเฉินหานในที่สุดก็ได้รับการระบาย
“ไม่ผิดจากที่คิดไว้แม้แต่น้อย ยายแซ่เซี่ยนั่นเป็นคนชั้นต่ำจริงๆ ด้วย ต่ำช้ายิ่งนัก” นางถ่มน้ำลายลงพื้นเต็มแรง เฉินหานโมโหจนอกกระเพื่อม “ยามนั้นพวกนางสองพี่น้องเห็นสตรีในจวนกั๋วกงของพวกเราเป็นดั่งฝูงลิง คิดจะปั่นหัวเช่นไรก็เช่นนั้น ยามนี้ยอดเยี่ยมยิ่งนัก ถึงกับกล้าเหยียบจมูกขึ้นหน้า เมื่อครู่หากไม่ใช่เพราะท่านลากข้าออกมา ต้องได้เห็นแน่ๆ ว่าข้าจะต่อว่านางเช่นไร”
เฉินอิ๋งรู้ดีว่าเฉินหานกำลังโมโหเดือดดาล จึงเอ่ยปากเตือนสติอีกฝ่าย “ด่าไปก็หามีประโยชน์อันใดไม่ มิสู้ใช้ท่าทีชัดแจ้งวาจากระชับสั้นอธิบายความ”
“แต่ข้าโมโห!” เฉินหานสองตาเบิกกว้าง หัวคิ้วแทบจะตั้งตรง “ข้ารู้ว่าด่านางไปก็ไม่มีประโยชน์ แต่หากไม่เอ่ยปากด่าสักสองสามประโยคข้ามีหวังได้อึดอัดใจตายแน่”
พอพูดถึงตรงนี้จู่ๆ นางก็สีหน้าหม่นหมอง ความรู้สึกเดือดดาลจางหายไปอย่างรวดเร็ว สองไหล่ลู่ตกเอ่ยปากอย่างไร้เรี่ยวแรงกำลังว่า “ช่างเถอะๆ ข้ารู้ หากข้าด่านางออกไปเพียงครึ่งประโยค คนที่จะเสียเปรียบย่อมไม่พ้นเป็นข้า ท่านลากข้าออกมา ทิ้งคำพูดดุดันไว้ นั่นต่างหากถึงจะเป็นการสั่งสอนนางที่แท้จริง”
จู่ๆ นางก็ยกมือทุบอกเต็มแรงคราหนึ่ง ความรู้สึกเป็นทุกข์คล้ายเก็บกดเนิ่นนานที่ปรากฏอยู่บนใบหน้านั้นยามนี้ถึงขีดสุดแล้ว
“ทว่าท่านรู้หรือไม่ ก็เพราะเข้าใจเรื่องพวกนี้ข้าถึงอัดอั้นตันใจยิ่ง” นางกุมสาบเสื้อแน่น ใบหน้าขาวสล้างกลับกลายเป็นเขียวคล้ำ ปากหอบหายใจรุนแรงคล้ายพร้อมจะหยุดหายใจได้ในเสี้ยวอึดใจนี้